เสียงร้องแห่งเกียรติยศ

Tekst
Loe katkendit
Märgi loetuks
Kuidas lugeda raamatut pärast ostmist
Šrift:Väiksem АаSuurem Aa

บทที่ เจ็ด

เจ้าหญิงเกว็นทรงคุกพระชานุอยู่ข้างเจ้าชายก็อดฟรีย์ในกระท่อมที่ปิดมิดชิด อิลเลพราอยู่ข้างพระนาง เจ้าหญิงไม่อาจทนได้อีกต่อไป พระนางทรงฟังเสียงเชษฐาร้องครวญครางอยู่หลายชั่วโมง ทรงเห็นใบหน้าของอิลเลพราหม่นหมองลงเรื่อย ๆ และดูเหมือนเขาคงจะต้องตายอย่างแน่นอน เจ้าหญิงทรงอับจนหนทาง ทำได้เพียงนั่งอยู่เช่นนั้น พระนางทรงรู้สึกว่าจะต้องทำบางอย่าง ทำอะไรก็ได้

เจ้าหญิงเกว็นไม่เพียงแต่วุ่นวายพระทันด้วยความรู้สึกผิดและเป็นห่วงเจ้าชายก็อดฟรีย์เท่านั้น แต่พระนางยังทรงกังวลมากกว่านั้นเมื่อนึกถึงธอร์ เจ้าหญิงไม่อาจสลัดภาพเขากำลังพุ่งเข้าสู่การต่อสู้ เดินไปสู่กับดักที่กาเร็ธวางไว้และกำลังจะตายออกไปจากความคิดได้ พระนางทรงรู้สึกว่าจะต้องช่วยธอร์ด้วยไม่ว่าในทางใด การประทับอยู่เช่นนี้กำลังจะทำให้ทรงเป็นบ้า

เจ้าหญิงเกว็นทรงผุดลุกขึ้นยืนทันที แล้วรีบเดินไป

“ท่านจะไปไหน?” อิลเลพราทูลถามขึ้น น้ำเสียงแหบพร่าจากการสวดภาวนา

เจ้าหญิงทรงหันไปหานาง

“ข้าจะกลับมา” พระนางตรัส “มีบางอย่างที่ข้าต้องลองทำ”

เจ้าหญิงทรงเปิดประตูแล้วรีบเสด็จออกไปสู่บรรยากาศยามสนธยา ทรงกระพริบพระเนตรกับภาพที่เห็น ท้องฟ้าเป็นริ้วสีแดงและม่วง อาทิตย์ดวงที่สองแตะที่ขอบฟ้าเหมือนกับลูกบอลสีเขียว อคอร์ธและฟุลตันยังคงยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกอย่างน่าชื่นชม ทั้งสองคนขยับตัวและมองมาที่เจ้าหญิงด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“เจ้าชายจะทรงรอดไหม?” อคอร์ธทูลถาม

“ข้าก็ไม่รู้” เจ้าหญิงเกว็นตรัส “รออยู่ที่นี่ คอยเฝ้าไว้”

“แล้วเจ้าหญิงจะเสด็จไปไหน?” ฟุลตันทูลถาม

เจ้าหญิงทรงเกิดความคิดขณะที่ทอดพระเนตรท้องฟ้าสีแดงราวกับโลหิต ทรงรู้สึกถึงความขลังของบรรยากาศ มีชายคนหนึ่งที่อาจจะช่วยพระนางได้

อาร์กอน

หากจะมีใครที่เจ้าหญิงจะทรงไว้ใจได้ คนที่รักธอร์และยังคงจงรักภักดีต่อพระบิดา คนที่มีพลังที่จะช่วยพระนางได้นั้น ก็มีเพียงเขา

“ข้าจะต้องไปหาใครบางคนเป็นพิเศษ” เจ้าหญิงตรัส

พระนางรีบเสด็จตัดทุ่งโล่งไป ก่อนจะทรงวิ่งเหยาะ ๆ แล้ววิ่งเต็มที่ไปตามทางที่มุ่งหน้าไปยังกระท่อมของอาร์กอน

พระนางไม่ได้เสด็จมาที่นี่หลายปี นับตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ แต่ทรงจำได้ว่าเขาอาศัยอยู่บนทุ่งโล่งเต็มไปด้วยหิน เจ้าหญิงทรงวิ่งไปเรื่อย ๆ พลางหอบเมื่อภูมิประเทศเริ่มว่างเปล่า ลมแรงขึ้น ทุ่งหญ้าหายไปกลายเป็นก้อนกรวด และเป็นก้อนหิน สายลมกระโชกแรง ขณะที่พระนางทรงวิ่งไป ภูมิประเทศเริ่มน่ากลัว เจ้าหญิงเกว็นทรงรู้สึกราวกับว่าพระนางกำลังเดินอยู่บนพื้นผิวของดวงดาว

ในที่สุดเจ้าหญิงก็เสด็จไปถึงกระท่อมของอาร์กอน ทรงทุบที่หน้าประตูพลางหอบหายพระทัย มันไม่มีที่จับประตูที่จะทรงใช้ได้ แต่พระนางทรงรู้ว่าที่นี่คือบ้านของเขา

“อาร์กอน!” เจ้าหญิงทรงตะโกน “นี่ข้าเอง! ลูกสาวพระราชาแม็คกิล! ให้ข้าเข้าไป! ข้าขอสั่งท่าน!”

เจ้าหญิงทรงทุบไม่หยุด แต่ไม่มีการตอบรับใด ๆ นอกจากสายลมพัดแรง

เจ้าหญิงทรงกรรแสงออกมาในที่สุด ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและทรงรู้สึกสิ้นหวังที่อย่างไม่เคยเป็น พระนางทรงรู้สึกท้อแท้ เหมือนกับไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหนได้อีก

ดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนลงจากท้องฟ้า แสงสีแดงจางลงในยามสนธยา เจ้าหญิงเกว็นทรงหันหลังแล้วเริ่มเสด็จกลับไปตามทางลงเขา พระนางทรงเช็ดน้ำตาจากพระพักตร์ พลางพยายามคิดหาหนทางต่อไป

“พระบิดาทรงโปรดด้วย” เจ้าหญิงตรัสเสียงดัง พลางหลับพระเนตรลง “ทรงบอกที โปรดแสดงให้ลูกเห็นว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป บอกลูกทีว่าต้องทำอะไร อย่าให้โอรสของพระองค์ต้องสิ้นไปในวันนี้ และได้โปรดอย่าให้ธอร์ต้องตาย หากพระบิดาทรงรักลูก ทรงตอบลูกด้วย”

เจ้าหญิงเกว็นทรงดำเนินไปเงียบ ๆ พลางฟังเสียงสายลม ทันใดนั้นทรงเกิดความคิดวาบขึ้นในพระทัย

ทะเลสาบ ทะเลสาบแห่งความเศร้า

ใช่แล้ว ทะเลสาบที่ผู้คนไปสวดภาวนาให้แก่คนที่ป่วยหนักใกล้ตาย มีทะเลสาบเล็ก ๆ ตามธรรมชาติอยู่กลางป่าเรดวู้ด ล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงเสียดฟ้า ถือกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

ขอบพระทัยพระบิดาที่ให้คำตอบแก่ลูก เจ้าหญิงเกว็นทรงคิด

พระนางทรงรู้สึกว่าพระบิดาอยู่ด้วยยิ่งกว่าครั้งไหน เจ้าหญิงทรงออกวิ่ง มุ่งหน้าไปยังป่าเรดวู้ด ไปยังทะเลสาบที่จะรับฟังความเศร้าของพระนาง

*

เจ้าหญิงเกว็นทรงคุกพระชานุลงที่ริมตลิ่งของทะเลสาบแห่งความเศร้า พระชานุสัมผัสกับใบสนสีแดงนุ่ม ๆ ที่คลุมอยู่รอบผืนน้ำราวกับวงแหวน พระนางทอดพระเนตรไปยังผืนน้ำนิ่ง นิ่งสนิทที่สุดที่พระนางทรงเคยเห็น มันสะท้อนภาพดวงจันทร์ที่กำลังขึ้น ดวงจันทร์เต็มดวงงดงาม ดวงกลมยิ่งกว่าที่ทรงเคยเห็น และขณะที่อาทิตย์ดวงที่สองกำลังตก ดวงจันทร์กำลังขึ้น ทำให้เกิดทั้งแสงยามสนธยาและแสงจันทร์เหนืออาณาจักรวงแหวน ภาพดวงอาทิตย์และดวงจันทร์สะท้อนอยู่ด้วยกัน คนละฝั่งในทะเลสาบ เจ้าหญิงทรงรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของช่วงเวลานี้ของวัน มันคือหน้าต่างระหว่างวันที่กำลังจะหมดลงกับการเริ่มต้นวันใหม่ในช่วงเวลาศักดิ์สิทธิ์ ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

เจ้าหญิงเกว็นทรงประทับอยู่เช่นนั้น พลางกรรแสงและภาวนาด้วยทุกสิ่ง เหตุการณ์ต่าง ๆ ในไม่กี่วันมานี้มันมากมายเกินไปสำหรับพระนาง ซึ่งเจ้าหญิงทรงปลดปล่อยมันออกมา พระนางสวดภาวนาเพื่อพระเชษฐา และยิ่งภาวนาเพื่อธอร์ เจ้าหญิงไม่อาจทนได้เมื่อทรงคิดว่าจะต้องสูญเสียทั้งสองคนไปในคืนนี้ จะไม่มีใครอยู่ด้วยอีกนอกจากกาเร็ธ ทรงทนไม่ได้หากจะต้องถูกส่งไปแต่งงานกับคนเถื่อน เจ้าหญิงทรงรู้สึกว่าชีวิตพังทลาย และพระนางทรงต้องการคำตอบ ยิ่งไปกว่านั้นพระนางทรงต้องการความหวัง

ประชาชนมากมายในอาณาจักรสวดภาวนาต่อเทพแห่งทะเลสาบ หรือเทพแห่งป่า หรือเทพแห่งภูเขา หรือเทพแห่งสายลม แต่เจ้าหญิงทรงไม่เคยเชื่อในเรื่องเหล่านี้ พระนางและธอร์เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ต่อต้านความเชื่อทำนองนี้ในอาณาจักร และยึดมั่นในศรัทธาที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น พระผู้ควบคุมจักรวาลทั้งหมด เจ้าหญิงทรงสวดภาวนาต่อพระเจ้าองค์นี้

พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดเถิด เจ้าหญิงทรงภาวนา โปรดคืนธอร์ให้แก่ข้า ขอให้เขาปลอดภัยในการรบ ขอให้เขารอดพ้นจากการซุ่มโจมตี โปรดช่วยให้ก็อดฟรีย์รอดตาย และโปรดคุ้มครองข้า อย่าให้ข้าถูกพรากไปจากที่นี่ และต้องไปแต่งงานกับพวกป่าเถื่อน ข้ายอมทำทุกอย่าง ขอเพียงพระองค์ทรงส่งสัญญาณบอกข้า โปรดแสดงให้ข้าได้รู้ว่าทรงต้องการสิ่งใดจากข้า

เจ้าหญิงเกว็นทรงประทับอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน ได้ยินเพียงเสียงลมแรงพัดผ่านยอดสูงของต้นสนมากมายในป่าเรดวู้ด พระนางทรงได้ยินเสียงกิ่งไม้แตกขณะที่แกว่งไกวอยู่เหนือพระเศียร และเสียงลูกสนหล่นลงน้ำ

“จงระวังในสิ่งที่ทรงขอ” มีเสียงหนึ่งพูดขึ้น

เจ้าหญิงทรงหันไปด้วยความตกพระทัย และต้องประหลาดพระทัยที่เห็นบางคนยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ห่างจากที่พระนางประทับอยู่ เจ้าหญิงเกว็นเกือบจะทรงหวาดกลัวหากแต่ทรงจำเสียงนั้นได้ในทันที เป็นเสียงที่ฟังดูโบราณ เก่าแก่กว่าต้นไม้เหล่านี้ แก่กว่าโลกนี้เองเสียอีก พระหทัยพองฟูขึ้นมาเมื่อทรงรู้ว่าเขาเป็นใคร

เจ้าหญิงเกว็นทรงหันไปเห็นเขายืนอยู่ สวมเสื้อคลุมสีขาวแบบที่มีผ้าคลุมศีรษะ ดวงตาเป็นประกายแผดเผาราวกับเขากำลังมองเข้าไปถึงพระวิญญาณของพระนางเลยทีเดียว เขาถือไม้เท้าที่สะท้อนแสงสนธยาและแสงจันทร์

อาร์กอน

พระนางทรงลุกขึ้นยืน เผชิญหน้ากับเขา

“ข้าไปหาท่าน” เจ้าหญิงตรัส “ข้าไปที่กระท่อมของท่าน ท่านได้ยินข้าเคาะประตูไหม?”

“ข้าได้ยินทุกสิ่ง” เขาทูลตอบอย่างคลุมเครือ

พระนางทรงนิ่งพลางสงสัย สีหน้าเขาไม่บ่งบอกอะไร

“บอกข้าทีว่าข้าต้องทำอะไร” เจ้าหญิงตรัส “ข้าจะทำทุกอย่าง ได้โปรด อย่าให้ธอร์ตาย ท่านจะปล่อยให้เขาตายไม่ได้!”

เจ้าหญิงเกว็นทรงก้าวไปข้างหน้าและจับข้อมือเขาไว้ พลางตรัสขอร้อง แต่เมื่อพระนางสัมผัสตัวเขา ทรงรู้สึกแผดเผาด้วยความร้อนที่แล่นผ่านข้อมือของเขามาสู่พระหัตถ์ พระนางทรงปล่อยออกด้วยไม่อาจทนพลังงานนี้ได้

อาร์กอนถอนหายใจ หันหลังให้แล้วเดินไปทางทะเลสาบสองสามก้าว เขาหยุดยืน มองไปที่ผืนน้ำ ดวงตาสะท้อนแสงเป็นประกาย

เจ้าหญิงเสด็จตามไปแล้วทรงยืนนิ่งอยู่เป็นครู่ รอคอยจนกว่าเขาพร้อมที่จะพูด

“มันเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนแปลงชะตา” เขาทูล “แต่ผู้ร้องขอจะต้องจ่ายด้วยราคาแสนแพงอย่างแน่นอน ท่านต้องการช่วยชีวิต นั่นเป็นความพยายามที่สูงส่ง แต่ท่านไม่สามารถช่วยสองชีวิตได้ ท่านจะต้องเลือก”

เขาหันมาหาพระนาง

“ท่านจะเลือกธอร์หรือเชษฐาของท่านให้รอดในคืนนี้? คนหนึ่งต้องตาย มันถูกกำหนดไว้

เจ้าหญิงเกว็นทรงตกตะลึงกับคำถามนั้น

“นี่มันทางเลือกแบบไหนกัน?” เจ้าหญิงตรัส “หากเลือกคนหนึ่ง ข้าก็มอบความตายให้อีกคนหนึ่ง”

“มิใช่ท่าน” เขาทูลตอบ “ทั้งคู่จะต้องตาย ข้าเสียใจ แต่นี่คือชะตาของพวกเขา”

เจ้าหญิงเกว็นทรงรู้สึกราวกับถูกมีดแทงเข้าที่พระนาภี ทั้งคู่จะต้องตายอย่างนั้นหรือ? มันเลวร้ายเกินกว่าจะคิดฝัน โชคชะตาโหดร้ายเพียงนี้เชียวหรือ?

“ข้าไม่อาจเลือกใครได้” เจ้าหญิงตรัสขึ้นอย่างอ่อนแรงในที่สุด “แม้ความรักของข้าที่มีต่อธอร์นั้นจะมากมายกว่า แต่ก็อดฟรีย์คือเลือดเนื้อของข้า ข้าไม่อาจทนได้หากคนหนึ่งต้องตายเพื่อให้อีกคนหนึ่งรอด และข้าไม่คิดว่าพวกเขาคนใดจะต้องการเช่นนั้น”

“ถ้าอย่างนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็จะต้องตาย” อาร์กอนทูลบอก

เจ้าหญิงเกว็นทรงตื่นตะหนก

“เดี๋ยวก่อน!” พระนางทรงร้องขึ้น เมื่อเขาจะหันหลังจากไป

เขาหันกลับมามองเจ้าหญิง

“แล้วข้าล่ะ?” เจ้าหญิงตรัสถาม “หากข้าตายแทนพวกเขาล่ะ? เป็นไปได้ไหม? ให้ทั้งสองคนรอด และข้าจะตายเองได้ไหม?”

อาร์กอนจ้องมองพระนางอยู่นาน ราวกับจะพิจารณาให้ถึงแก่น

“พระทัยของท่านนั้นบริสุทธิ์” เขาทูล “ท่านเป็นผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ที่สุดในบรรดาแม็คกิลทั้งหมด พระบิดาของท่านทรงเลือกได้ฉลาด ใช่แล้ว พระองค์ทรงทำ...”

เสียงของอาร์กอนเงียบลงเมื่อเขามองเข้าไปในพระเนตรของพระนาง เจ้าหญิงเกว็นทรงรู้สึกอึดอัดแต่ไม่กล้าหันหนี

“เพราะการเลือกของท่าน เพราะความเสียสละของท่านในคืนนี้” อาร์กอนทูล “โชคชะตารับฟังท่าน ธอร์จะปลอดภัยในคืนนี้ เช่นเดียวกับเชษฐาของท่าน ท่านเองก็จะมีชีวิตอยู่ แต่ส่วนเล็ก ๆ ของชีวิตท่านจะต้องสูญไป จงจำไว้ ทุกอย่างมีราคาเสมอ ท่านจะตายเพียงเศษเสี้ยวของความตายเพื่อแลกกับการมีชีวิตอยู่ของทั้งสองคน”

“หมายความว่าอย่างไร?” เจ้าหญิงตรัสถาม ด้วยความหวาดกลัว

“ทุกอย่างมีราคาของมัน” เขาทูลตอบ “ท่านได้เลือกแล้ว ท่านจะไม่จ่ายอย่างนั้นหรือ?”

เจ้าหญิงเกว็นทรงตั้งพระทัยให้เข้มแข็ง

“ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อธอร์” พระนางตรัส “และเพื่อครอบครัวของข้า”

อาร์กอนจ้องมองพระนาง

“ธอร์มีชะตาอันยิ่งใหญ่” อาร์กอนทูล “แต่ชะตาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ โชคชะตาของเรานั้นขึ้นอยู่กับดวงดาวของเรา ซึ่งพระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุม พระเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตา ธอร์ถูกกำหนดให้ตายในคืนนี้ เขาจะรอดอยู่ก็เพียงเพราะท่าน ท่านจะต้องจ่าย และราคานั้นค่อนข้างสูง”

เจ้าหญิงเกว็นทรงต้องการรู้มากกว่านั้น พระนางทรงยื่นพระหัตถ์ไปยังอาร์กอน แต่ทันใดนั้นเองก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้นตรงหน้า แล้วอาร์กอนก็หายตัวไป

เจ้าหญิงเกว็นทรงหันหาเขาไปทุกทาง แต่ก็ไม่พบ

ในที่สุดพระนางทรงหันไปยังทะเลสาบที่ช่างนิ่งสงบ ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลยในคืนนี้ เจ้าหญิงทรงเห็นภาพสะท้อนของพระนาง ดูช่างอยู่ห่างไกล เจ้าหญิงทรงรู้สึกซาบซึ้ง และสุขสงบได้ในที่สุด แต่ทรงอดรู้สึกกลัวไม่ได้กับอนาคตของพระนางเอง แม้จะพยายามผลักออกไปจากความคิดมากเพียงใด พระนางก็ทรงอดสงสัยไม่ได้ว่าราคาที่ต้องทรงจ่ายเพื่อชีวิตของธอร์นั้นคืออะไร?

 

บทที่ แปด

ธอร์นอนอยู่บนพื้นกลางสนามรบ ถูกทหารแม็คคลาวด์ตรึงอยู่กับที่อย่างหมดหนทางสู้ เขาได้ยินเสียงปะทะกันจากการต่อสู้ เสียงร้องของม้า และทหารล้มตายอยู่รอบตัวเขา ดวงอาทิตย์กำลังตกและดวงจันทร์กำลังขึ้น ดวงจันทร์เต็มดวง ดวงโตกว่าที่เขาเคยเห็น จู่ ๆ ก็ถูกบดบังด้วยทหารร่างใหญ่คนหนึ่งที่ก้าวเข้ามาหาเขา เงื้อสามง่ามขึ้นเตรียมที่จะแทงลงมา ธอร์รู้ว่าเวลาของเขามาถึงแล้ว

ธอร์หลับตาเตรียมรับความตาย เขาไม่รู้สึกกลัว มีเพียงเสียใจ เขาอยากจะมีชีวิตอยู่ยาวนานกว่านี้ อยากรู้ว่าตัวเขาเป็นใคร มีโชคชะตาอย่างไร และที่สำคัญที่สุดเขาอยากจะใช้เวลาร่วมกับเจ้าหญิงเกว็นมากกว่านี้

เขารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมที่ต้องมาตายเช่นนี้ ไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่แบบนี้ และไม่ใช่วันนี้ มันยังไม่ถึงเวลาของเขา ธอร์รู้สึกได้ เขายังไม่พร้อมในตอนนี้

ทันใดนั้นเอง ธอร์รู้สึกถึงพลังงานบางอย่างก่อตัวขึ้นในกายเขา มันรุนแรงและแข็งกล้าอย่างที่ไม่เคยรู้สึก เขารู้สึกแปลบปลาบและร้อนไปทั่วร่าง เมื่อรู้สึกถึงความรู้สึกใหม่ที่พลุ่งพล่านไปทั่วตัว ความร้อนแผดเผาแผ่จากปลายเท้าไล่ขึ้นมาที่ขา ผ่านลำตัวไปยังแขนทั้งสองข้าง จนถึงปลายนิ้ว ปะทุด้วยพลังบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ ธอร์ทำให้ตัวเองตกใจ เมื่อเขาคำรามก้องออกมา ราวกับมังกรที่ทะยานมาจากใต้โลก

ธอร์รู้สึกแข็งแกร่งเท่ากับคนสิบคนเมื่อเขาสะบัดหลุดจากการเกาะกุมทั้งหลายและกระโจนลุกขึ้นยืน ก่อนที่ศัตรูจะแทงสามง่ามลงมา เขาก้าวไปข้างหน้า คว้าหมวกเหล็กของทหารแม็คคลาวด์ไว้แล้วกระแทกศีรษะเข้าใส่ ทำให้จมูกมันหัก แล้วเตะเข้าอย่างแรงจนกระเด็นหงายหลังไปราวกับลูกปืนใหญ่ กวาดเอาทหารอีกสิบคนล้มไปด้วย

ธอร์ร้องออกมาด้วยความกราดเกรี้ยวที่เพิ่งเคยเป็นเมื่อเขาคว้าตัวทหารคนหนึ่งไว้แล้วยกขึ้นเหนือศีรษะ ก่อนจะเหวี่ยงใส่หมู่ทหาร ทำให้ศัตรูนับสิบคนล้มคว่ำไปราวกับลูกโบว์ลิ่ง จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปกระชากเอาคทาตุ้มเหล็กที่มีสายโซ่ยาวสิบฟุตจากมือทหารคนหนึ่ง แล้วเหวี่ยงหมุนขึ้นเหนือหัวจนเกิดเสียงร้องขึ้นรอบตัวเขา เมื่อมันกวาดเอาทหารหลายสิบคนในรัศมีสิบฟุตล้มคว่ำลง

ธอร์รู้สึกถึงพลังที่ทวีขึ้นจนเขาปล่อยให้มันควบคุม ทหารแม็คคลาวด์หลายสิบคนพุ่งเข้าใส่เขา ธอร์ยื่นฝ่ามือออกไปและต้องประหลาดใจกับความรู้สึกแปลบปลาบ ก่อนจะเห็นสายหมอกเย็นพุ่งออกจากฝ่ามือ ทหารศัตรูที่เข้ามาโจมตีต่างหยุดนิ่ง ถูกหุ้มด้วยไอเย็น พวกมันยืนนิ่งตัวแข็ง ราวกับเป็นก้อนน้ำแข็ง

ธอร์หันฝ่ามือไปทุกทิศ แช่แข็งทหารแม็คคลาวด์ทุกทางที่หันไป ดูเหมือนกับก้อนน้ำแข็งตกใส่ไปทั่วสนามรบ

ธอร์หันไปหาพี่น้องทหารยุวชนของเขา เห็นศัตรูหลายคนกำลังจะฟาดฟันเข้าใส่เจ้าชายรีซ โอคอนเนอร์ เอลเด็น และคู่แฝด เขายกฝ่ามือนยื่นออกไปในแต่ละทิศและแช่แข็งพวกที่กำลังจะโจมตี ช่วยชีวิตเพื่อน ๆ ให้รอดพ้นจากความตาย ทุกคนหันมาหาเขา แววตาแสดงความโล่งอกและขอบคุณ

กองทัพแม็คคลาวด์เริ่มสังเกตเห็นและระวังตัวที่จะเข้ามาหาธอร์ พวกมันเริ่มถอยไปอยู่ในระยะปลอดภัยรอบตัวเขา ทหารเหล่านี้กลัวที่จะเข้ามาใกล้เกินไปเมื่อได้เห็นว่าพวกมันหลายคนถูกแช่แข็งนิ่งอยู่ในสนามรบ

แต่แล้วก็มีเสียงคำรามดังขึ้น ทหารคนหนึ่งก้าวมาข้างหน้า ตัวใหญ่กว่าคนอื่นราวห้าเท่า มันต้องสูงอย่างน้อยสิบสี่ฟุต ถือดาบที่ใหญ่ที่สุดที่ธอร์เคยเห็น เขายกฝ่ามือขึ้นเพื่อแช่แข็งมัน แต่ไม่ได้ผล ศัตรูตัวยักษ์เพียงแค่ปัดพลังไอเย็นให้พ้นไปราวกับเป็นแมลงน่ารำคาญ และตรงเข้ามาหาธอร์ ธอร์เริ่มรู้ตัวว่าพลังของเขายังมีข้อบกพร่อง เขาประหลาดใจและไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงไม่แข็งแกร่งพอที่จะหยุดทหารคนนี้

ทหารร่างยักษ์มาถึงธอร์เพียงก้าวยาว ๆ สามก้าว ทำให้ธอร์ประหลาดใจกับความเร็วของมัน จากนั้นมันเหวี่ยงหลังมือเข้าใส่ธอร์ ทำให้เขากระเด็นลอยไป

ธอร์หล่นกระแทกพื้นอย่างแรง และก่อนที่เขาจะทันหลบ ศัตรูตัวยักษ์ก็มาถึงตัว ยกเขาลอยขึ้นเหนือหัวของมันด้วยสองมือ แล้วเหวี่ยงเขาลอยสูงขึ้นไปในอากาศราวยี่สิบฟุตก่อนที่จะตกลงพื้นและกระแทกอย่างแรง กลิ้งหลุน ๆ ไปท่ามกลางเสียงโห่ร้องอย่างยินดีของพวกแม็คคลาวด์ ธอร์รู้สึกเหมือนซี่โครงหักหมดทุกซี่

ธอร์เงยหน้าขึ้นเห็นทหารตัวยักษ์กำลังเข้ามาใกล้ ครั้งนี้เขาทำอะไรไม่ได้แล้ว พลังใด ๆ ที่เขามีกลับเหือดหายไปแล้ว

เขาหลับตาลง

พระเจ้าทรงโปรด ช่วยข้าด้วยเถิด

ขณะที่ทหารยักษ์กำลังใกล้เข้ามา ธอร์เริ่มได้ยินเสียงหึ่งดังอยู่ไกล ๆ ในหัวของเขา มันเริ่มดังขึ้น ๆ จนในไม่ช้ามันกลายเป็นเสียงหึ่งดังอยู่นอกหัวของเขา ธอร์รู้สึกถึงพลังใหม่ เขารู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับวัตถุและอากาศรอบตัว ต้นไม้ที่โยกไกว ใบหญ้าพลิ้วไหว เขารู้สึกถึงเสียงพืมพำท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ เมื่อยืนมือออกไป เขารู้สึกเหมือนกำลังรวบรวมเสียงหึ่งดังจากทุกมุมในจักรวาล รวบรวมพลังของมันมาตามปรารถนา

ธอร์ลืมตาขึ้น เขาได้ยินเสียงหึ่งดังอยู่เหนือหัว ต้องประหลาดใจเมื่อได้เห็นฝูงผึ้งมหาศาลปรากฏตัวขึ้นจากท้องฟ้า พวกมันพุ่งมาจากทุกมุม เมื่อเขายกมือ เขารู้สึกว่าเขาสามารถควบคุมมันได้ ธอร์ไม่รู้ว่าเขาทำได้อย่างไร แต่เขารู้ว่าเขาสามารถทำได้

ธอร์ขยับมือไปทางทหารร่างยักษ์ เขาเห็นฝูงผึ้งที่บดบังท้องฟ้า รุมเข้าใส่ศัตรูตัวยักษ์จนมิด มันยกมือขึ้นปัดป่ายพลางส่งเสียงร้องออกมา เมื่อฝูงผึ้งมหาศาลรุมต่อยนับพันครั้งจนทรุดลงคุกเข่าแล้วล้มหน้าคว่ำลงตาย พื้นดินสะเทือนด้วยแรงกระแทกจากร่างของมัน

ธอร์เคลื่อนมือไปทางกองทัพแม็คคลาวด์ ที่ยังนั่งบนหลังม้า มองมาที่เขาอย่างตกใจกับภาพที่เกิดขึ้น พวกมันพยายามจะหันหนี แต่ยังไม่ทันได้ทำ ธอร์เหวี่ยงฝ่ามือไปทางนั้น ฝูงผึ้งก็ผละจากร่างของทหารยักษ์ หันไปโจมตีทหารคนอื่น

กองทัพแม็คคลาวด์ร้องตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว พวกมันพร้อมใจกันหันหลังแล้วขี่ม้าหนี พลางถูกผึ้งต่อยนับครั้งไม่ถ้วน กองทัพศัตรูต่างพยายามหนีไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนในไม่ช้าพวกมันก็หายไปจากสนามรบจนหมด บางคนที่หนีไม่ทันต่างก็ล้มตายไปตาม ๆ กัน จนมีศพเกลื่อนในสนามรบ

คนที่รอดชีวิตยังคงควบม้าหนี ขณะที่ฝูงผึ้งยังบินไล่ตามไป เสียงหึ่งดังผสมกับเสียงฝีเท้าม้าและเสียงตะโกนด้วยความกลัว

ธอร์ประหลาดใจที่ภายในไม่กี่นาที สนามรบก็ว่างเปล่าและสงบนิ่ง ที่เหลืออยู่มีเพียงเสียงครวญครางของทหารแม็คคลาวด์ที่บาดเจ็บ นอนกองกันอยู่ ธอร์มองดูรอบ ๆ เห็นเพื่อนของเขากำลังอ่อนแรงและเหนื่อยหอบ พวกเขาฟกช้ำและมีแผลถลอกปอกเปิกไปทั่วตัว แต่ยังสบายดี แน่นอนว่ายกเว้นเพื่อนทหารยุวชนสามคนที่เขาไม่รู้จักชื่อนอนตายอยู่ตรงนั้น

เกิดเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังมาจากทางขอบฟ้า เมื่อธอร์หันไปมองก็เห็นกองทัพหลวงกำลังลงเนินมา ตรงมาหาพวกเขา เจ้าชายเคนดริคนำอยู่ด้านหน้า พวกเขาขี่ม้ามาช่วย และในไม่ช้าก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าธอร์และเพื่อน ๆ ผู้ที่รอดชีวิตอยู่ในสนามรบนองเลือดนี้

ธอร์ยืนมองนิ่งด้วยความตกใจ เมื่อเจ้าชายเคนดริค คอล์ค บรอมและคนอื่น ๆ ลงจากหลังม้า และเดินเข้ามาหาช้า ๆ ตามมาด้วยทหารกองรบเงินอีกหลายสิบนาย นักรบผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมดในทัพหลวง พวกเขาเห็นว่าธอร์และเพื่อน ๆ อยู่กันเพียงลำพัง ได้รับชัยชนะในสนามรบนองเลือดนี้ และประหลาดใจกับศพทหารแม็คคลาวด์นับร้อย ธอร์มองออกว่าพวกเขาประหลาดใจ ยกย่อง และยำเกรง เขาเห็นได้ในแววตาของทุกคน นี่คือสิ่งที่เขาต้องการมาตลอดชีวิต

เขาคือวีรบุรุษ

บทที่ เก้า

อีเร็คควบม้าเร่งไปตามเส้นทางลงใต้ เขารีบขี่ไปด้วยความเร็วยิ่งกว่าที่เคย พยายามที่สุดที่จะหลบหลุมบ่อบนถนนในยามราตรี เขายังไม่ได้หยุดเลยนับตั้งแต่ที่รู้ข่าวว่าอลิสแตร์ถูกลักตัวไป ถูกขายให้กับพ่อค้าทาส และถูกส่งไปยังเมืองบาลัสเตอร์ เขาไม่อาจหยุดโทษตัวเองที่ช่างโง่เง่าและไร้เดียงสาที่ไว้ใจเจ้าของโรงแรม ที่เชื่อว่าเขาจะรักษาคำพูดและรักษาสัญญาที่จะปล่อยตัวอลิสแตร์ให้แก่เขาหลังจากที่เขาชนะการแข่งขัน อีเร็คถือสัจจะเป็นเกียรติยศและเขาคิดว่าคนอื่นก็จะถือเช่นเดียวกัน เป็นความผิดพลาดที่โง่เง่าซึ่งต้องแลกมาด้วยอลิสแตร์

อีเร็คใจสลายเมื่อคิดถึงนาง เขาเตะม้าแรงขึ้น สตรีผู้งดงามและผ่องแผ้วเช่นนาง เมื่อแรกก็ต้องทนทุกข์กับการเสื่อมเกียรติ ต้องทำงานให้แก่เจ้าของโรงแรมนั่นแล้ว ตอนนี้ยังมาถูกขายไปเป็นทาส ต้องถูกขายเป็นนางโลมด้วยซ้ำ เมื่อคิดเรื่องนี้เขาก็ยิ่งโกรธ และอดรู้สึกไม่ได้ว่าเขามีส่วนต้องรับผิดชอบ หากเขาไม่โผล่เข้ามาในชีวิตของนาง ไม่เสนอที่จะพานางไป บางทีเจ้าของโรงแรมอาจจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้

อีเร็คเร่งขี่ม้าไปในยามราตรี เสียงฝีเท้าม้าก้องอยู่ในหู พร้อมด้วยเสียงหายใจของม้า ม้าของเขาเองก็เหนื่อยมาก อีเร็คกลัวว่ามันอาจจะหมดแรงล้มพับไป เขาตรงไปหาเจ้าของโรงแรมทันทีหลังจากจบการแข่งขัน โดยไม่ได้หยุดพักเลย และอ่อนระโหยมากกับความเหน็ดเหนื่อย เขารู้สึกเหมือนกับจะฟุบลงไปและหล่นจากหลังม้า แต่ก็ฝืนลืมตาตื่น บังคับตัวเองให้ตื่น ขณะที่ขี่ม้าไปใต้ดวงจันทร์เต็มดวง มุ่งหน้าลงใต้ไปยังเมืองบาลัสเตอร์

อีเร็คได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองบาลัสเตอร์มาตลอดชีวิต แม้จะเป็นที่ที่เขาไม่เคยไป แต่จากข่าวที่เล่าลือกัน มันเป็นสถานที่แห่งการพนัน ฝิ่น โลกีย์ และความโสมมทุกอย่างที่คิดได้ในอาณาจักร เป็นเมืองที่พวกอันธพาลหลั่งไหลเข้าไป จากทุกมุมของอาณาจักรวงแหวน เพื่อหาประโยชน์จากงานด้านมืดทุกอย่างที่รู้จักกัน เมืองนี้เป็นด้านตรงข้ามกับเขา อีเร็คไม่เคยเล่นการพนัน แลแทบจะไม่ดื่มเลย เขาชอบใช้เวลาว่างในการฝึกฝน และลับคมทักษะฝีมือของเขา อีเร็คไม่เข้าใจคนประเภทที่เกียจคร้านและเที่ยวสำมะเลเทเมา แบบพวกขาประจำของเมืองบาลัสเตอร์ทำ การมาที่เมืองนี้เป็นลางไม่ดีสำหรับเขา ไม่น่าจะมีเรื่องดีจากที่นี่ได้ เมื่อคิดว่านางต้องมาอยู่ในสถานที่เช่นเมืองนี้ทำให้เขาหดหู่ อีเร็ครู้ว่าเขาจะต้องรีบช่วยนาง และพาไปให้ไกลจากที่นี่ ก่อนที่จะเกิดความเสียหายขึ้น

เมื่อดวงจันทร์คล้อยลงบนท้องฟ้า ถนนเริ่มกว้างขึ้นและเดินทางสะดวกขึ้น อีเร็คเห็นเมืองเป็นครั้งแรก แสงจากคบไฟมากมายที่ส่องแสงสว่างให้กำแพงเมืองทำให้มันดูเหมือนกองไฟในยามราตรี อีเร็คไม่ประหลาดใจ ว่ากันว่าคนที่นี่ตื่นกันอยู่ตลอดคืน

อีเร็คเร่งม้าเร็วขึ้นและเข้าไปใกล้เมืองมากขึ้น ในที่สุดเขาก็เข้าไปใกล้สะพานไม้เล็ก ๆ มีคบไฟอยู่สองด้าน มียามนั่งสับปะหงกอยู่ที่เชิงสะพาน เขากระโจนลุกขึ้นยืน เมื่ออีเร็คควบม้าผ่านไป ยามคนนั้นตะโกนเรียกไล่หลังเขา “เฮ้ย!”

แต่อีเร็คไม่ชะลอ หากยามคนนี้กล้าพอจะไล่ตามเขา ซึ่งอีเร็คยังสงสัยในเรื่องนี้ ถึงตอนนั้นเขาจะทำให้มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ชายคนนี้ได้ทำ

อีเร็คควบม้าพุ่งผ่านประตูเมืองบานใหญ่ที่เปิดอยู่ เข้าไปยังจัตุรัสที่ล้อมด้วยกำแพงหินโบราณเตี้ย ๆ เขาขี่ม้าไปตามทางแคบ ๆ ที่สว่างไสวด้วยคบไฟตามรายทาง บ้านเรือนสร้างชิดติดกัน ทำให้เมืองนี้ดูคับแคบและอึดอัด ถนนหนทางเต็มไปด้วยผู้คน และเกือบทั้งหมดเป็นคนเมาที่เดินโซเซไปมา ร้องตะโกนโหวกเหวก และชนกระแทกกัน ดูเหมือนเป็นงานเลี้ยงใหญ่ และร้านเหล้ากับบ่อนแทบจะมีอยู่หลังเว้นหลังทีเดียว

อีเร็ครู้ว่ามาถูกที่แล้ว เขารู้สึกได้ว่าอลิสแตร์อยู่ที่นี่ ตรงไหนสักแห่ง อีเร็คกลืนน้ำลาย หวังว่าจะไม่มาช้าเกินไป

เขาขี่ม้าไปถึงอาคารที่เป็นโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่อยู่ใจกลางเมือง มีผู้คนมากมายอยู่ด้านนอก อีเร็คคิดว่าที่นี่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

เขาลงจากหลังม้าแล้วรีบเข้าไปด้านใน ใช้ข้อศอกแหวกทางผ่านพวกขี้เมาที่โหวกเหวกโวยวายเข้าไปจนถึงเจ้าของโรงเตี๊ยม ที่ยืนด้านหลัง ตรงกลางห้อง กำลังจดชื่อคน แล้วรับเงินมา ก่อนจะชี้บอกทางไปที่ห้องพัก เขาเป็นคนท่าทางสะโอดสะอง มีรอยยิ้มเสแสร้งบนใบหน้า เหงื่อไหลโทรม และกำลังถูมือเข้าด้วยกันขณะที่นับเงิน เขาเงยหน้าขึ้นมองอีเร็ค มีรอยยิ้มจอมปลอมบนใบหน้า

“ต้องการห้องพักหรือท่าน?” เขาถาม “หรือว่าต้องการสตรี?”

อีเร็คส่ายหน้าแล้วเขยิบเข้าไปใกล้ ต้องการให้เขาได้ยินท่ามกลางเสียงอึกทึกนี้

“ข้ามาตามหาพ่อค้า” อีเร็คบอก “พ่อค้าทาส เขาขี่ม้ามาจากซาวาเรีย เมื่อวันหรือสองวันก่อนหน้านี้ เขามีสินค้าล้ำค่ามาด้วย พวกทาส”

ชายเจ้าของโรงเตี๊ยมเลียริมฝีปาก

“ที่ท่านต้องการเป็นข้อมูลที่มีราคา” เขาบอก “ข้าจัดหาให้ได้ ง่ายเหมือนกับที่ข้าจัดหาห้อง”

เขายื่นมือมาข้างหน้า แล้วถูนิ้วเข้าด้วยกัน ก่อนจะแบมือออก เขาเงยหน้ามองอีเร็คแล้วยิ้ม เหงื่อเป็นเม็ดอยู่เหนือริมฝีปากบน

อีเร็ครังเกียจชายคนนี้ แต่เขาต้องการข้อมูลและไม่อยากเสียเวลา ดังนั้นเขาจึงล้วงลงไปในถุงเงินแล้ววางเหรียญทองอันใหญ่ลงในมือของชายเจ้าของโรงเตี๊ยม

เขาทำตาโตขณะที่พิจารณาดูเหรียญทอง

“ทองของพระราชา” เขาสังเกตด้วยความประทับใจ

เขามองดูอีเร็คทั่วตัวด้วยสายตาแสดงความเคารพระคนสงสัย

“ท่านขี่ม้ามาจากราชสำนักจนถึงที่นี่เลยอย่างนั้นหรือ?” เขาถาม

“พอได้แล้ว” อีเร็คตอบ “ข้าเป็นคนถามคำถาม ข้าจ่ายให้แล้ว บอกข้ามาได้แล้ว ว่าพ่อค้าอยู่ที่ไหน?”

เจ้าของโรงเตี๊ยมเลียริมฝีปากหลายครั้ง ก่อนจะชะโงกเข้ามาใกล้

“ชายคนที่ท่านตามหาคือ เออร์บอต เขาจะมาอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง พร้อมกับพวกนางโลมชุดใหม่ เขาขายพวกนางให้แก่คนที่ให้ราคาสูงที่สุด ท่านน่าจะพบเขาได้ที่ซ่องของเขา ไปตามถนนเส้นนี้จนสุดทาง เขาอยู่ที่นั่นแหละ แต่ถ้าสตรีที่ท่านตามหามีค่ามาก นางน่าจะถูกขายไปแล้ว นางโลมของเขาอยู่ไม่นานหรอก”

อีเร็คหมุนตัวจะไป เมื่อรู้สึกว่ามีมืออุ่นและชื้นคว้าข้อมือเขาไว้ เขาหันมาแล้วต้องประหลาดใจที่เห็นเจ้าของโรงเตี๊ยมดึงเขาไว้

“หากท่านกำลังหานางโลมอยู่ล่ะก้อ ทำไมไม่ลองของข้าสักคนล่ะ พวกนางเยี่ยมพอ ๆ กับของเขาเลยนะ แต่ถูกกว่าครึ่งหนึ่งทีเดียว”

อีเร็คยิ้มหยันด้วยความรังเกียจ หากเขามีเวลา เขาคงจะฆ่าชายคนนี้ไปแล้ว เพื่อช่วยกำจัดคนประเภทนี้ให้หมดไปจากโลก แต่เขาต้องรีบตัดบท และตัดสินใจว่าชายคนนี้ไม่คู่ควรจะเสียเวลาด้วย

อีเร็คสะบัดมือออก ก่อนจะชะโงกเข้าไปใกล้

“ถ้าแตะต้องตัวข้าอีก” อีเร็คเตือน “เจ้าจะต้องคิดว่าไม่น่าจะทำเลย ตอนนี้ถอยไปห่าง ๆ ข้าสองก้าว ก่อนที่ข้าจะหาที่เหมาะ ๆ แทงเจ้าด้วยดาบในมือข้า”

เจ้าของโรงเตี๊ยมมองดูตาโตด้วยความกลัว แล้วก้าวถอยหลังไปหลายก้าว

อีเร็คหันหลังรีบเดินออกไป ใช้ข้อศอกดันและผลักคนในร้านให้พ้นทางขณะที่รีบออกไปด้านนอกผ่านประตูบานคู่ เขาไม่เคยรังเกียจใครเช่นนี้มาก่อน

อีเร็คขึ้นหลังม้าของเขาซึ่งกำลังเหยาะย่างและพ่นลมใส่ขี้เมาที่เดินผ่านมาจ้องดูมัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาพยายามที่จะขโมยมัน อีเร็ครู้ทัน เขากำลังคิดว่าหากเขาไม่กลับมาพวกมันจะขโมยจริงหรือไม่ อีเร็คเตือนตัวเองว่าต่อไปให้ผูกม้าให้แน่นหนา เขาประหลาดใจกับความโสมมของเมืองนี้ ถึงอย่างไร วาร์คฟิน ม้าของเขาเป็นม้าศึกที่แข็งแกร่ง หากใครพยายามที่จะขโมยมันไป มันคงจะกระทืบตาย

 

อีเร็คเตะกระตุ้นวาร์คฟิน แล้วออกเดินทางไปตามถนนแคบ ๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะหลบผู้คนมากมาย แม้จะดึกแล้ว แต่บนถนนยังมีผู้คนหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ คนหลายเชื้อชาติร่วมสังสรรค์กัน ขี้เมาหลายคนร้องโวยวายขึ้นเมื่อเขาขี่ม้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่เขาไม่สนใจ อีเร็ครู้สึกว่าอลิสแตร์อยู่แค่เอื้อมและเขาจะไม่หยุดจนกว่าจะได้นางคืนมา

ถนนไปสิ้นสุดลงที่กำแพงหิน อาคารสุดท้ายที่อยู่ทางขวามือเป็นโรงแรมเอียง ๆ หลังหนึ่ง มีผนังดินสีขาวและหลังคามุงจาก ซึ่งดูเหมือนมันเคยรุ่งเรืองกว่านี้ เมื่อดูจากท่าทางของคนที่เดินเข้าออกแล้ว อีเร็ครู้สึกได้ว่าเขามาถูกที่แล้ว

อีเร็คลงจากหลังม้า ผูกไว้กับเสาอย่างแน่นหนา แล้วพรวดเข้าประตูไป แต่เขากลับต้องชะงักอยู่กับที่ด้วยความประหลาดใจ

ข้างในนั้นมีแสงสลัว เป็นห้องใหญ่ห้องหนึ่งที่มีคบไฟวูบไหวอยู่บนผนังเพียงไม่กี่อัน และเตาผิงที่ไฟกำลังมอดอยู่ห่างออกไปที่มุมหนึ่ง มีพรมปูไว้ทั่วไปหมด และบนพรมนั้นก็มีสตรีหลายคนแต่งกายน้อยชิ้น ถูกมัดไว้ด้วยกันด้วยเชือกเส้นหนาและล่ามไว้กับกำแพง ทุกคนดูเหมือนจะเมายา อีเร็คได้กลิ่นฝิ่น และเห็นบ้องสูบถูกส่งต่อกันไป ชายแต่งตัวดีสองสามคนเดินไปทั่วห้อง เตะและสะกิดเท้าของสตรีเหล่านั้นทางโน้นทีทางนี้ที ทำราวกับกำลังทดสอบสินค้าและตัดสินใจว่าจะซื้ออะไรดี

ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้กำมะหยี่สีแดงตัวเล็กที่อีกฟากห้อง เขาสวมเสื้อคลุมไหม มีสตรที่ถูกล่ามอยู่ด้วยกันนั่งขนาบอยู่สองข้าง ด้านหลังมีชายร่างใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ตัวสูงใหญ่กว่าอีเร็คเสียอีก ดูเหมือนกับพวกเขาคงจะตื่นเต้นที่จะฆ่าใครสักคน

อีเร็คเข้ามาภายในและรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ที่นี่คือซ่อง สตรีเหล่านี้มีไว้ให้เช่า และคนที่อยู่ตรงมุมนั้นต้องเป็นตัวการ เป็นคนที่ลักตัวอลิสแตร์ และอาจจะลักตัวสตรีเหล่านี้ทั้งหมดด้วย อีเร็ครู้ว่าในตอนนี้อลิสแตร์ก็อาจจะอยู่ในห้องนี้

เขารีบเดินหาอย่างกระวนกระวายไปตามแถวของบรรดาสตรี กวาดตามองใบหน้าของพวกนาง มีสตรีอยู่หลายสิบคนในห้องนี้ บางคนสลบไสลไป แสงสลัวภายในห้องทำให้ยากที่จะบอกได้ในทันที เขามองดูไปทีละคน กำลังเดินไปตามแถว เมื่อจู่ ๆ ฝ่ามือใหญ่ก็กระแทกเข้าที่อก

“เจ้าจ่ายเงินรึยัง?” เสียงแหบพร่าถามขึ้น

อีเร็คเงยหน้าขึ้นเห็นชายร่างใหญ่ยืนค้ำเขาอยู่ ทำหน้าถมึงทึง

“ถ้าเจ้าอยากจะดูพวกนาง เจ้าก็ต้องจ่าย” เขาบอกดังด้วยเสียงแหบต่ำ “นั่นเป็นกฎ”

อีเร็คยิ้มหยันตอบ รู้สึกเกลียดขึ้นมาทันที เขายื่นมือออกไปใช้สันมือกระแทกเข้าใส่คอหอยอย่างรวดเร็วก่อนที่ชายคนนั้นจะทันกระพริบตา

ชายร่างใหญ่อ้าปาก ตาเบิกโพลง ก่อนจะทรุดลงคุกเข่า มือกุมลำคอไว้ อีเร็คเงื้อศอกฟันเข้าใส่ขมับ จนเขาล้มลงไปนอนคว่ำหน้า

อีเร็คเดินเร็วไปตามแถว กวาดตาดูใบหน้าเพื่อมองหาอลิสแตร์ แต่ไม่พบนางเลย นางไม่ได้อยู่ที่นี่

อีเร็คใจเต้นรัวเมื่อรีบเดินไปยังอีกฟากห้อง ที่ชายผู้สูงวัยกว่ากำลังนั่งอยู่ คอยดูแลทุกอย่าง

“เจ้าได้เจอคนที่ชอบหรือยัง?” เขาถาม “มีคนที่เจ้าอยากจะประมูลไหม?”

“ข้ามาหาสตรีนางหนึ่ง” อีเร็คบอกเสียงแข็ง พยายามที่จะสงบ “และข้าจะขอพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นางตัวสูงมีผมสีทอง ดวงตาสีเขียว นางชื่ออลิสแตร์ นางถูกพามาจากซาวาเรียเมื่อวันหรือสองวันก่อน มีคนบอกข้าว่านางถูกพามาที่นี่ เป็นความจริงใช่ไหม?”

ชายคนนั้นส่ายหน้าช้า ๆ พลางยิ้มกริ่ม

“ข้าเกรงว่าของที่เจ้าหาถูกขายไปแล้ว” เขาบอก “เป็นของดีเสียด้วย เจ้านี่มีรสนิยมดี เลือกคนอื่นสิ ข้าจะลดราคาให้”

อีเร็คไม่พอใจ รู้สึกเกรี้ยวกราดอย่างที่ไม่เคยเป็น

“ใครพานางไป?” อีเร็คตะคอก

ชายคนนั้นยิ้ม

“แหม ดูเหมือนเจ้าจะปักใจกับทาสคนนี้เป็นพิเศษ”

“นางไม่ใช่ทาส” อีเร็คตะคอก “นางเป็นภรรยาของข้า”

ชายคนนั้นมองมาด้วยความตกใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดัง

“ภรรยาของเจ้า! มุขนี้ดีนี่ แต่พอแล้วนะ สหาย ตอนนี้นางเป็นของเล่นของคนอื่นไปแล้ว” แล้วใบหน้าของเขาหม่นคล้ำลง เป็นถมึงทึงราวกับปิศาจ เมื่อเขาชี้สั่งลูกน้อง แล้วบอกต่อว่า “ตอนนี้จัดการกำจัดขยะชิ้นนี้ไปได้แล้ว”

ชายล่ำสันสองคนก้าวมาข้างหน้าด้วยความเร็วที่ทำให้อีเร็คประหลาดใจ ทั้งคู่พุ่งเข้าใส่เขาพร้อมกัน ยื่นมือมาหมายจะคว้าอก

แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่ากำลังจะสู้กับใคร อีเร็คไวกว่าทั้งสองคน เขาฉากหลบก่อนจะคว้าข้อมือของคนหนึ่งไว้แล้วบิดไปด้านหลังจนมันหงายหลังลงนอน แล้วฟันศอกใส่ที่คอของอีกคน อีเร็คก้าวไปข้างหน้าแล้วบีบคอของคนที่นอนอยู่บนพื้น ทำให้สลบไป จากนั้นจึงชะโงกไปใช้หัวกระแทกกับคนอีกคนที่กำลังกุมลำคอไว้ สลบไสลตามไปอีกคน

ชายทั้งสองนอนไม่ได้สติอยู่ตรงนั้น อีเร็คก้าวข้ามทั้งสองคนตรงไปหาเจ้าของซ่อง ที่ตอนนี้กำลังนั่งตัวสั่นอยู่ในเก้าอี้ ตาโพลงด้วยความกลัว

อีเร็คยื่นมือไปจิกผมเขาไว้ แล้วกระชากไปด้านหลัง เอามีดจ่อเข้าที่คอหอย

“บอกมาว่านางอยู่ที่ไหน แล้วข้าอาจจะให้เจ้ามีชีวิตอยู่” อีเร็คคำราม

ชายคนนั้นอึกอัก

“ข้าจะบอก แต่เจ้ากำลังเสียเวลา” เขาตอบ “ข้าขายนางให้กับท่านลอร์ดคนหนึ่ง เขามีกองอัศวินของตัวเอง และอาศัยอยู่ในปราสาท เขาเป็นคนที่มีอำนาจมาก ปราสาทของเขาไม่เคยมีคนผ่านไปได้ และนอกจากนั้นเขายังมีกองทัพของตัวเองไว้คอยเป็นกองหนุน เขาร่ำรวยมาก และมีกองกำลังทหารรับจ้างที่พร้อมจะทำตามคำสั่งของเขาตลอดเวลา สตรีนางไหนที่เขาซื้อไป เขาจะเก็บไว้ ไม่มีทางที่เจ้าจะได้ตัวนางมาง่าย ๆ ดังนั้นจงกลับไปยังที่ ๆ เจ้าจากมา นางไปแล้ว”

อีเร็คกดคบมีดแน่นเข้าจนเริ่มมีโลหิตซึม และเจ้าของซ่องร้องออกมา

“ลอร์ดคนนี่อยู่ที่ไหน?” อีเร็คเกรี้ยวกราด หมดความอดทน

“ปราสาทของเขาอยู่ทางตะวันตก ใช้ประตูเมืองด้านตะวันตก แล้วไปจนสุดถนน เจ้าจะได้เห็นปราสาท แต่มันเสียเวลาเปล่า เขาจ่ายค่าตัวนางอย่างงาม มากกว่าที่นางคู่ควรเสียอีก”

อีเร็คทนมาพอแล้ว เขาเชือดคอชายเจ้าของซ่องโดยไม่หยุดคิดเลย โลหิตไหลไปทุกทาง เมื่อชายคนนี้ไหลลงจากเก้าอี้ลงไปนอนตาย

อีเร็คมองดูที่ศพ และลูกน้องสองคนที่ไม่ได้สติ และรู้สึกรังเกียจสถานที่นี้ทั้งหมด เขาแทบไม่อยากรู้ว่ามันมึอยู่จริง

อีเร็คเดินข้ามห้องไปแล้วเริ่มตัดเชือกที่ล่ามสตรีทั้งหลายออก เขาตัดเชือกเส้นหนาปล่อยพวกนางเป็นอิสระทีละคน หลายคนกระโดดลุกขึ้นแล้ววิ่งไปที่ประตู ในไม่ช้าคนในห้องก็เหลือน้อยลง ทุกคนต่างมุ่งหน้าไปที่ประตู บางคนอาจจะเมายาเกินกว่าจะขยับตัว ส่วนคนอื่น ๆ ก็เข้ามาช่วย

“ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร” สตรีนางหนึ่งบอกแก่อีเร็ค เมื่อนางหยุดอยู่ที่ประตู “ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง และไม่ว่าท่านกำลังจะไปที่ไหน ขอให้พระเจ้าช่วยเหลือท่านด้วย

อีเร็ครู้สึกซาบซึ้งกับน้ำใจและคำอวยพร แต่เขากลับรู้สึกห่อเหี่ยว สถานที่ ๆ เขากำลังจะไป อาจจะต้องการมันก็ได้