Tasuta

กำเนิดราชันย์มังกร

Tekst
Märgi loetuks
Šrift:Väiksem АаSuurem Aa

ทั้งหมดลุกขึ้นยืนและพุ่งเข้าไปอีกครั้ง เธอรู้ได้ทันทีว่ามันคือกลยุทธ์ของพ่อ เพื่อเดินเข้าใกล้ทหารของลอร์ดจนมากพอที่จะทำให้ธนูของพวกเขาไร้ความหมาย ในไม่ช้าพวกเขาก็ไปถึงกำแพงทหาร เหล็กกระทบกันเสียงดังขณะที่เหล่าทหารประจันหน้ากัน ดาบปะทะดาบ ทวนปะทะโล่ หอกปะทะเกราะ เสียงกึกก้องนั้นทั้งน่ากลัวและรู้สึกดีในเวลาเดียวกัน

ทหารต่อสู้ประชิดตัว ส่งเสียงโห่ร้อง ฟาดฟันคมดาบและปัดป้องด้วยอาวุธ เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น เลโอกระโจนไปข้างหน้า ฝังเขี้ยวของมันลงที่เท้าของทหาร หนึ่งในทหารของพ่อที่อยู่ข้าง ๆ เธอร้องออกมา เขาถูกแทงด้วยดาบ เลือดไหลออกจากปากของเขา

ไคร่าเห็นเอนวินเอาหัวชนเข้ากับศัตรู จากนั้นจ้วงดาบของเขาไปที่ซี่โครง เธอมองดูพ่อของเธอกำลังใช้โล่เป็นอาวุธ ฟาดใส่ศัตรูสองคนอย่างรุนแรง เขากระแทกพวกมันกระเด็นตกสะพานลงไปในคูเมือง เธอไม่เคยเห็นพ่อของเธอต่อสู้มาก่อน เขาดูดุร้ายอย่างยิ่ง แต่ที่น่าประทับใจกว่าคือการที่ทหารของพ่อรวมตัวกันอยู่รอบ ๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาเป็นเวลานับปี พวกเขาช่างมีสหายศึกที่เธอรู้สึกอิจฉา

ทหารของพ่อต่อสู้ได้อย่างไร้ที่ติ พวกเขาทำให้ทหารของลอร์ดไม่ทันระวังตัว การต่อต้านที่พวกเขาไม่คาดคิด ทหารของลอร์ดกำลังต่อสู้เพื่อผู้ว่าของพวกเขาซึ่งตอนนี้ได้กลับไปแล้ว ขณะที่ทหารของพ่อกำลังต่อสู้เพื่อบ้านเกิด ครอบครัวและชีวิตของพวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ ความปรารถนาของพวกเขา การเดิมพันของพวกเขา ทำให้พวกเขามีแรงกระตุ้น

ในระยะประชิดที่ไม่มีพื้นที่ให้เคลื่อนไหว ไคร่ามองเห็นทหารพุ่งเข้ามา เขายกดาบขึ้นสูง เธอรีบจับไม้เท้าด้วยมือทั้งสองข้าง หันไปด้านข้างและยกมันขึ้นเหนือหัวเพื่อเป็นป้องกันโล่ ทหารฟันลงมาที่เธอด้วยดาบยาว เธอหวังว่าเหล็กอัลเคนของบรอทจะต้านทานได้

ดาบกระเด็นออกจากไม้เท้า ราวกับว่ามันปะทะเข้ากับโล่ เธอโล่งใจที่ไม้เท้าของเธอไม่แตกหัก

ไคร่าควงไม้เท้าไปรอบตัว และฟาดใส่หัวของทหารด้านข้าง เขาทรุดตัวลง เธอเตะจนเขาหงายหลังหล่นลงไปในคูเมืองพร้อมกับเสียงกรีดร้อง

ทหารอีกคนพุ่งเข้ามาหาเธอจากด้านข้าง มือของเขากำลังเหวี่ยงลูกตุ้ม เธอรู้ว่าไม่สามารถตอบโต้ได้ทันแน่ แต่ทันใดนั้นเลโอวิ่งเข้ามา ตะปบกรงเล็บลงบนหน้าอกของเขา ทำให้เขาล้มลงไปนอนแผ่หลาอยู่กับพื้น

ทหารอีกคนกระโจนเข้ามาหาเธอพร้อมขวาน เขาเหวี่ยงลงจนเธอเกือบจะไม่มีเวลาตอบโต้ ไคร่าเหวี่ยงไม้เท้าเพื่อต้านทาน เธอถือไม้เท้าในแนวตั้ง แทบจะทนความแข็งแรงของทหารไม่ไหว ขวานเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น เธอได้รับบทเรียนอันมีค่า เธอตระหนักได้ว่าเธอไม่ควรเผชิญหน้าทหารเหล่านี้โดยตรง เธอไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ เธอต้องต่อสู้ด้วยจุดแข็งของเธอ ไม่ใช่จุดแข็งของพวกเขา

เธอกำลังสูญเสียกำลังในขณะที่ขวานใกล้เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ไคร่านึกถึงสิ่งประดิษฐ์ของบรอท เธอบิดไม้เท้าแยกออกเป็นสองท่อน เธอถอยหลังออกมาอย่างรวดเร็ว ขวานเฉี่ยวผ่านตัวเธอไปอย่างหวุดหวิด ทหารทำหน้างงกับสิ่งที่ไม่คาดคิดนี้ และในการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว ไคร่ายกไม้เท้าทั้งสองท่อนขึ้นมา แทงคมมีดเข้าไปยังหน้าอกของทหาร ฆ่าเขาตายต่อหน้า

เสียงตะโกนของกลุ่มคนดังขึ้นจากข้างหลัง ไคร่าหันไปเห็นกลุ่มของชาวบ้าน ชาวนา ช่างอิฐ ช่างตีเหล็ก ช่างทำเกราะ ทั้งหมดถืออาวุธอยู่ในมือ เคียว มีดยาว และอีกมากมาย ต่างวิ่งมาที่สะพาน ในไม่ช้าพวกเขาก็เข้าร่วมกับทหารของพ่อ ทั้งหมดพร้อมแล้วที่จะลุกขึ้นสู้

ไคร่ามองเห็นโธมัค พ่อค้าเนื้อกำลังใช้มีดของเขาฟันใส่แขนทหาร ขณะที่บรายผู้เป็นช่างอิฐได้ทุบค้อนใส่หน้าอกทหารจนเขาล้มลงไป ชาวบ้านจำนวนมากก่อให้เกิดคลื่นพลังลูกใหม่ในการต่อสู้ ความงุ่มงามของพวกเขาทำให้ทหารของลอร์ดไม่ทันระวังตัว พวกเขาสู้ด้วยความปรารถนา การปลดปล่อยแรงโกรธแค้นจากความเป็นทาสมานานหลายปี ในที่สุดพวกเขาก็มีโอกาสที่จะลุกขึ้นต่อสู้เพื่อตัวพวกเขาเอง โอกาสสำหรับการแก้แค้นได้มาถึงแล้ว

พวกเขากดดันทหารของลอร์ดต่อไป ฟาดฟันอาวุธเข้าใส่ ตะลุยไปด้วยพละกำลังทั้งหมด พวกทหารและม้าของพวกเขาล้มลงทั้งซ้ายและขวา การต่อสู้อันดุเดือดทำให้นักรบมือสมัครเล่นล้มตาย เสียงร้องโหยหวนของพวกเขาดังไปทั่ว หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที ทหารที่มีอาวุธและทักษะดีกว่าเริ่มกระหน่ำการโจมตี ผลักดันกลับมาอย่างรุนแรง ความได้เปรียบได้กลับมาสู่ฝ่ายทหารของลอร์ดอีกครั้ง

สะพานอัดแน่นมากยิ่งขึ้นเมื่อกำลังเสริมทหารของลอร์ดบุกเข้ามาบนสะพาน ทหารของพ่อล้มลงบนหิมะ เสียงร้องมากกว่าหนึ่งครั้งดังขึ้นเรื่อย ๆ ทหารของพ่อถูกฆ่าโดยทหารของลอร์ด ทิศทางของสงครามแปรเปลี่ยนไป ไคร่ารู้ว่าเธอต้องลงมือทำอะไรสักอย่างโดยเร็ว

ไคร่ามองดูรอบ ๆ เธอกระโดดขึ้นไปบนราวหินของขอบสะพาน เธอสามารถมีมุมที่ได้เปรียบอย่างที่ต้องการ เธออยู่เหนือพวกเขาสูงขึ้นไปหลายฟุต เผยตัวตนของเธอแต่เธอไม่สนใจ เธอคือคนเดียวที่คล่องแคล่วพอที่จะกระโดดขึ้นมาบนนี้ได้ เธอหยิบธนูของเธอขึ้นมา ใส่ลูกธนู เล็งเป้าหมายและยิงออกไป

มุมที่เหนือกว่าทำให้ไคร่าสามารถจัดการทหารได้อย่างต่อเนื่อง เธอเล็งไปยังทหารของลอร์ดที่อยู่ข้างหลังพ่อ เขากำลังง้างขวานในมือพร้อมที่จะเหวี่ยงเข้าใส่ เธอยิงไปที่คอของเขา เขาล้มลงก่อนที่จะฟันลงไปบนหลังของพ่อ จากนั้นเธอยิงใส่ทหารที่กำลังเหวี่ยงลูกตุ้ม ลูกธนูปักเข้าที่ชายโครงก่อนที่เขาจะขว้างลูกตุ้มไปที่หัวของเอนวิน

เธอยิงธนูไปเรื่อย ๆ จัดการพวกทหารได้มากมาย จนกระทั่งในที่สุด เธอรู้สึกได้ว่ามีเสียงธนูแหวกอากาศพุ่งมาที่เธอ เมื่อเธอมองไปก็พบว่าพลธนูกำลังยิงกลับมา ก่อนที่เธอจะไหวตัวทัน เธออ้าปากด้วยความเจ็บปวด ลูกธนูถากแขนของเธอจนเลือดไหลออกมา

ไคร่ากระโดดลงจากราวสะพาน กลับเข้าสู่สนามรบ เธอม้วนตัวลงนั่งคุกเข่า หายใจอย่างรุนแรง บาดแผลบนแขนทำให้เธอเจ็บปวด กำลังเสริมของศัตรูได้เพิ่มขึ้นบนสะพานอีกจำนวนมาก ผู้คนของเธอกำลังถูกผลักดันถอยหลัง เธอมองไปข้างหน้า หนึ่งในผู้ชายที่เธอรู้จักและชื่นชม เขาถูกแทงเข้าที่ซี่โครง ล้มลงไปในคูเมือง และแน่นิ่งไป

ในขณะที่เธอยังคงคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ทหารท่าทางดุร้ายคนหนึ่งยกขวานขึ้นสูงเหนือหัวและเหวี่ยงลงมาที่เธอ เธอรู้ว่าไม่สามารถขยับตัวได้ทันเวลา เธอเตรียมรับการโจมตี ทันใดนั้นเลโอพุ่งเข้ามา ฝังเขี้ยวของมันเข้าที่ท้องของทหาร

ไคร่าเห็นการเคลื่อนไหวทางหางตา เธอหันไปมอง ทหารอีกคนยกทวนขึ้นและพุ่งใส่หลังคอของเธอ เธอไม่สามารถทำอะไรได้ เธอพร้อมรับการโจมตีนี้ เธอคิดว่าเธอจะต้องตาย

เสียงเหล็กปะทะกัน เธอมองขึ้นไปเห็นคมดาบอยู่เหนือหัว การโจมตีถูกหยุดลงด้วยดาบ พ่อของเธอยืนอยู่ที่นั่น เขากำลังเหวี่ยงดาบเพื่อช่วยเหลือเธอจากความตาย เขาควงดาบไปรอบ ๆ เบนทวนให้พ้นทาง จากนั้นแทงเข้าที่หัวใจของทหาร

การเคลื่อนไหวนั้นทำให้พ่อของเธอไร้ทางป้องกันตัว ไคร่ามองดูอย่างตกใจกลัว เมื่อทหารอีกคนก้าวเข้ามาและแทงไปที่แขนของพ่อ เขาร้องออกมา โซเซล้มลง ทหารกดตัวของเขาลงไป

ในขณะที่ไคร่าคุกเข่าอยู่ที่นั่น ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเริ่มครอบงำตัวเธอ ความอบอุ่นที่เริ่มจากช่องท้อง แผ่กระจายออกทั่วร่างกาย แล่นผ่านเส้นเลือด ไหลไปตามแขนขาของเธอ มันคือความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน เธอรีบคว้าไว้ทันที เธอรู้สึกว่ามันมอบพลังที่แข็งแกร่งอย่างไม่สิ้นสุดให้กับเธอ มันทำให้เธอมีสมาธิ เธอมองไปรอบ ๆ ราวกับว่าเวลาเดินช้าลง การเหลือบดูเพียงครั้งเดียวทำให้เธอมองเห็นเหล่าศัตรูทั้งหมด จุดอ่อนของพวกเขา และวิธีสังหารพวกเขาทีละคน

ไคร่าไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ แต่ในตอนนี้เธอไม่สนใจ เธออ้าแขนรับพลังใหม่ที่เข้ามาอย่างเต็มใจ และยินดีที่จะยอมจำนนต่อความโกรธแค้น เพื่อทำในสิ่งที่เธอต้องการ

ไคร่ายืนขึ้น รับรู้ได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้น ทุกคนรอบตัวกำลังเคลื่อนไหวในท่วงท่าที่ช้าลง เธอยกไม้เท้าขึ้นมาและกระโดดเข้าไปในฝูงชน

หลังจากนี้เหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาพพร่ามัวที่เธอแทบจะคิดตามไม่ทันและจดจำไม่ได้ เธอรู้สึกว่าพลังถาโถมมาที่แขนของเธอ เหมือนกับมันบอกเธอว่าต้องจัดการใคร และเคลื่อนตัวไปทางไหน เธอพบว่าเธอกำลังโจมตีศัตรูที่ทำร้ายพ่อ บุกตะลุยฝ่ากลุ่มทหาร เล่นงานคนหนึ่งไปที่ข้างหัว เอื้อมมือไปข้างหลังและแทงอีกคนเข้าไปที่คอ จากนั้นกระโดดขึ้นสูง ฟาดไม้เท้าของเธอลงมาด้วยสองมือใส่หัวของทหารสองคน เธอบิดไม้เท้าและควงไปรอบตัวอย่างหนักหน่วง ทะลวงใส่กลุ่มศัตรูดุจพายุหมุน เหล่าทหารถูกโค่นล้มลง ทิ้งร่องรอยไว้เพียงศพที่อยู่เบื้องหน้า ไม่มีใครสามารถแตะต้องตัวเธอ…และไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเธอได้

เสียงกระทบของไม้เท้ากับเกราะดังก้องกังวาน ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่น่าจะเป็นไปได้ นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่เธอรู้สึกเหมือนเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล เธอไม่ได้พยายามควบคุมพลังนี้…แต่ปล่อยให้มันควบคุมตัวเธอเอง เธอรู้สึกว่าเธออยู่นอกตัวของเธอเอง เธอไม่เข้าใจพลังใหม่ มันทั้งน่ากลัวและน่ายินดีในขณะเดียวกัน

ในไม่ช้าเธอก็สามารถจัดการทหารของลอร์ดบนสะพานจนเกือบหมด เธอพบว่าตัวเธอเองอยู่อีกฝากหนึ่ง และกำลังแทงเข้าใส่ระหว่างดวงตาของทหารคนสุดท้าย

ไคร่ายืนอยู่ที่นั่น หายใจเหนื่อยหอบ ทันใดนั้นเวลาได้กลับมาเร็วเหมือนเดิม เธอมองไปรอบ ๆ ความเสียหายที่เธอทำลงไป เธอรู้สึกตกใจมากกว่าใคร ๆ

ทหารของลอร์ดหลายสิบคนที่เหลืออยู่อีกฝั่งของสะพานมองมาที่เธอ ความตื่นตระหนกอยู่ในแววตาของพวกเขา พวกเขาหันหลังและวิ่งหนีไป บางคนลื่นล้มลงบนหิมะ

เสียงตะโกนดังขึ้น พ่อของไคร่านำการโจมตีไปพร้อมกับทหารของเขา ฟาดฟันเข้าใส่ศัตรูซ้ายทีขวาที จนกระทั่งไม่เหลือใครรอดชีวิต

เสียงแตรดังขึ้น การต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว

ทหารทั้งหมดของพ่อ ชาวบ้านทั้งหมดต่างยืนนิ่งอย่างตกตะลึง เมื่อเห็นว่าพวกเขาทำสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ พวกเขาไม่ส่งเสียงดีใจเหมือนที่ควรจะทำหลังจากได้รับชัยชนะ ไม่มีเสียงโห่ร้องและการโผกอด ไม่มีเสียงตะโกนแห่งความสุข แต่กลับเป็นความเงียบงันแปลกประหลาด บรรยากาศดูเศร้าหมอง วันนี้พวกเขาสูญเสียเพื่อนไปมากมาย ร่างของพวกเขากระจัดกระจายอยู่ทุกที่ บางทีนั่นคือสาเหตุที่ทำให้พวกเขานิ่งงัน

แต่มันมากกว่านั้น ไคร่ารู้ว่านั่นไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เกิดความเงียบ เธอรู้ว่ามันเป็นเพราะตัวเธอ

ทุกคนบนสนามรบหันมาที่เธอ แม้แต่เลโอก็มองเธอด้วยแววตาหวาดกลัว ราวกับมันไม่รู้จักเธออีกต่อไปแล้ว

ไคร่ายืนนิ่งไม่ขยับ ยังคงหายใจเหนื่อยหอบ แก้มของเธอแดงเรื่อ รับรู้ได้ว่าทุกคนกำลังจ้องมา พวกเขามองดูเธอด้วยท่าทีเกรงขาม แต่แฝงไปด้วยความสงสัย พวกเขามองมาเหมือนเธอเป็นคนแปลกหน้าในหมู่พวกเขา พวกเขากำลังถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกัน มันคือคำถามที่เธอต้องการคำตอบ คำตอบที่เธอหวาดกลัวมากกว่าสิ่งใด

เธอคือใคร?

บทที่ยี่สิบเอ็ด

อเล็คเซไปมาขณะที่เขายืนอยู่บนรถลาก ถูกขนาบข้างด้วยเด็กผู้ชายจำนวนมาก เขาฝันถึงเรื่องราวที่น่ากลัว เขามองเห็นตัวเขาเองถูกอัดแน่นจนตายในโรงศพที่เต็มไปด้วยเด็กผู้ชาย ฝาโรงปิดกระแทกเสียงดังปัง

เขาตกใจตื่นหายใจเหนื่อยหอบ เขาจึงรู้ตัวว่าได้ฝันไป เขากำลังยืนอยู่ในรถลากที่ยังคงจอดรับเด็กมากขึ้นเรื่อย ๆ เด็กผู้ชายถูกโยนเข้ามาข้างใน รถลากกระแทกไปมาตลอดทาง นับเป็นวันที่สองที่ยาวนาน รถลากขึ้นและลงจากเนินเขา เข้าและออกจากป่า อเล็คยืนอยู่แบบนี้นับตั้งแต่เขามีเรื่องกับเด็กในรถ เขารู้สึกว่าการยืนปลอดภัยมากกว่า หลังของเราเริ่มปวด แต่เขาไม่สนใจ เขาพบว่าการยืนหลับทำได้ง่ายกว่า โดยเฉพาะเมื่อมีมาร์โก้อยู่ข้างเขา พวกเด็กผู้ชายที่โจมตีเขาได้ถอยห่างไปยังอีกฟากของรถลาก แต่ตอนนี้เขายังคงไม่ไว้ใจใคร

แรงกระแทกได้แทรกลึกลงไปในความรู้สึกของอเล็ค เขาลืมไปแล้วว่าการทรงตัวบนพื้นนิ่ง ๆ นั้นเป็นเช่นไร เขาคิดถึงแอชตั้นและรู้สึกใจชื้นกับความจริงที่ว่าอย่างน้อยพี่ชายของเขาก็ไม่ต้องมายืนอยู่ที่นี่ตอนนี้ มันทำให้เขามีจุดมุ่งหมายและทำให้เขามีความกล้าที่จะเดินหน้าต่อไป

เงามืดเริ่มทอดยาวออกไป ไม่มีทีท่าว่าการเดินทางนี้จะสิ้นสุด อเล็คเริ่มสูญเสียความหวัง เริ่มรู้สึกว่าเขาจะไปไม่ถึงกำแพงอัคคี

 

เวลาล่วงเลยผ่านไป หลังจากที่อเล็คเผลอหลับไปหลายครั้ง เขารู้สึกเหมือนชายโครงถูกดันด้วยข้อศอก เขาเปิดตาขึ้นและพบว่ามาร์โก้กำลังชี้ให้เขาดูอะไรบางอย่าง

อเล็ครับรู้ถึงความตื่นเต้นที่กำลังเกิดขึ้นในหมู่เด็กผู้ชาย และครั้งนี้เขารู้สึกแตกต่างออกไป เด็กผู้ชายทั้งหมดเงยหน้าขึ้น พวกเขาเริ่มหันไปและมองลอดผ่านกรงเหล็ก อเล็คพยายามมองออกไป แต่เขาไม่สามารถมองผ่านกลุ่มคนพวกนี้ได้

“เจ้าต้องมาดูนี่” มาร์โก้พูดในขณะมองออกไป

มาร์โก้หลีกทางให้ อเล็คมองตรงไปยังภาพที่เขาจะไม่มีวันลืม

กำแพงอัคคี

อเล็คเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับกำแพงอัคคีมาตลอดชีวิตของเขา แต่เขาไม่เคยคิดว่ามันจะมีอยู่จริง มันคือหนึ่งในสิ่งที่ยากต่อการจินตนาการ เขาไม่สามารถนึกภาพออก แต่ภาพเบื้องหน้าในตอนนี้ทำให้เขาสังสัยว่า เปลวเพลิงสูงเสียดฟ้าได้อย่างไร? มันลุกไหม้ตลอดกาลได้อย่างไร?

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นด้วยตาของตัวเอง เขารับรู้ได้ว่ามันคือเรื่องจริง สิ่งที่มองเห็นทำให้เขาแทบจะลืมหายใจ บนขอบฟ้านั่น กำแพงอัคคีกำลังลุกโชน เหมือนดังที่ตำนานว่าไว้ เปลวไฟสูงขึ้นไปถึงก้อนเมฆ หนาทึบจนเขาไม่สามารถมองเห็นว่ามันสิ้นสุดที่ใด เขาได้ยินเสียงปะทุและสัมผัสได้ถึงความร้อน แม้ว่าจะอยู่ที่นี่ มันคือสิ่งที่น่าตื่นเต้นและน่ากลัว

รอบกำแพงอัคคี อเล็คมองเห็นทหารนับร้อยประจำการอยู่ ผู้ชายและเด็กผู้ชายกำลังยืนเวรยาม กระจายตัวออกไปทุกร้อยฟุต สุดทางของถนนบนเส้นขอบฟ้า เขามองเห็นหอคอยสีดำที่ล้อมรอบไปด้วยสิ่งปลูกสร้างด้านนอกมากมาย มันคือศูนย์รวมกิจกรรม

“ดูเหมือนมันจะเป็นบ้านใหม่ของพวกเรา” มาร์โก้มองสำรวจ

อเล็คมองดูค่ายทหารซอมซ่อที่อัดแน่นไปด้วยเด็กผู้ชายเนื้อตัวเปรอะเปื้อนเขม่าดำ เขารู้สึกเคว้งในท้องเมื่อคิดว่านี่คือจุดเริ่มต้นอนาคตอันน่าเศร้าของเขา ชีวิตที่ย่ำแย่กำลังจะเริ่มขึ้น

*

อเล็คเตรียมตัวรับแรงกระแทกในขณะที่เขาถูกกระชากออกมาจากรถโดยผู้คุมชาวแพนดิเซีย เขาล้มลงกองกับพื้นแข็งด้านล่างพร้อมกับเด็กผู้ชายจำนวนมากที่หล่นลงมาบนตัวของเขา เขาพยายามแทรกตัวหายใจ เขาตกใจกับพื้นที่แข็งมากถึงเพียงนี้ และมันถูกปกคลุมด้วยหิมะ เขาไม่เคยชินกับอากาศทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ เขารู้ได้ทันทีว่าเสื้อผ้าของเขานั้นบางเกินไป มันไร้ประโยชน์ที่นี่ เขานึกถึงโซลี ระยะห่างคงต้องขี่ม้าลงไปทางใต้ประมาณสองสามวัน พื้นดินที่นั่นอ่อนนุ่ม เต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ไม่เคยมีหิมะตกและอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นของดอกไม้ แต่ที่นี่ช่างหนาวเหน็บและยากลำบาก ไร้ชีวิตชีวา อากาศมีแต่กลิ่นของเปลวเพลิง

ขณะที่อเล็คพยายามดิ้นรนให้หลุดออกจากกลุ่มเด็กพวกนี้ เขาเกือบจะยืนไม่ได้เมื่อเขาถูกผลักจากข้างหลังจนล้มคว่ำมาข้างหน้า ผู้คุมยืนอยู่ข้างหลังกำลังไล่ต้อนเด็กผู้ชายทั้งหมดเหมือนลูกวัวไปยังค่ายทหาร

อเล็คมองเห็นเด็กผู้ชายจำนวนหลายสิบคนออกมาจากรถลากที่มากกว่าหนึ่งคัน เขาตกตะลึงเมื่อเห็นร่างคนตายหล่นลงมา เขารู้สึกประหลาดใจที่เขาสามารถรอดชีวิตมาได้จากการแออัดอยู่ในนั้น เขารู้สึกปวดทุกส่วนของร่างกายเข้าไปถึงกระดูก ในขณะที่เขาเดินไป เขาไม่เคยรู้สึกอ่อนล้าเช่นนี้มาก่อน เหมือนกับว่าเขาไม่ได้นอนมาเป็นแรมเดือน ราวกับว่าเขาได้มาถึงจุดจบของโลกใบนี้แล้ว

เสียงไฟปะทุดังไปทั่วบรรยากาศ อเล็คมองดูกำแพงอัคคีที่อยู่เหนือขึ้นไปร้อยฟุต เขากำลังเดินเข้าไปใกล้ ขนาดของมันใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ช่างดูตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก เขาชอบความร้อนของมัน เขารู้สึกอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเขาก้าวเข้าไปทีละก้าว ความร้อนที่ทวีมากยิ่งขึ้นนั้นทำให้เขารู้สึกกลัว ทหารกำลังเดินลาดตระเวน พวกเขายืนห่างออกไปไม่ถึงยี่สิบหลา สวมใส่ชุดเกราะที่ดูไม่ธรรมดา บางคนนอนอยู่ที่นั่น อ่อนแรงและทรุดตัวลงอย่างเห็นได้ชัด

“เห็นเปลวเพลิงนั่นไหมไอ้หนู” เสียงมืดมนพูดขึ้นมา

อเล็คหันไปเห็นเด็กผู้ชายที่เขามีเรื่องด้วยบนรถลาก เขาเดินมาข้าง ๆ พร้อมเพื่อนของเขาที่ทำท่าทางข่มขู่

“เมื่อข้าเอาหน้าของเจ้าเข้าไปใกล้จะไม่มีใครจำเจ้าได้อีก แม้แต่แม่ของเจ้า ข้าจะเผามือของเจ้าจนกว่าจะไม่เหลืออะไรนอกจากตอตะโก จงชื่นชมในสิ่งที่เจ้ามีก่อนที่จะเสียมันไป”

เขาหัวเราะด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัว

อเล็คมองกลับไปด้วยท่าทีไม่เกรงกลัว มาร์โก้เดินมาอยู่ข้างเขา

“ในรถลากเจ้าไม่สามารถล้มข้าได้” อเล็คตอบ “และตอนนี้เจ้าจะไม่สามารถล้มข้าได้เช่นกัน”

เด็กผู้ชายหัวเราะเยาะ

“ที่นี่ไม่ใช่รถลากไอ้หนู” เขาพูด “คืนนี้เจ้าจะนอนกับข้า ในค่ายทหารเป็นของพวกเราทั้งหมด หนึ่งคืนใต้หลังคาเดียวกัน แค่เจ้ากับข้า ข้ามีเวลาถมถืด มันอาจจะเป็นคืนนี้หรือคืนพรุ่งนี้…แต่หนึ่งในคืนเหล่านั้น คืนที่เจ้าคาดไม่ถึง เมื่อเจ้านอนหลับ เราจะมาจัดการเจ้า เจ้าจะตื่นมาพบกับใบหน้าของเจ้าในกองเพลิง นอนหลับฝันดีนะ” เขาสรุปพร้อมเสียงหัวเราะ

“ถ้าเจ้าเก่งนัก” มาร์โก้พูดอยู่ข้างเขา “เจ้าจะรออะไร? เราอยู่นี่แล้ว เข้ามาสิ”

อเล็คเห็นเด็กผู้ชายลังเลในขณะที่เขามองไปยังผู้คุมชาวแพนดิเซีย

“แล้วเวลานั้นจะมาถึง” เขาตอบ

จากนั้นพวกเขาก็เดินหายเข้าไปในกลุ่มคน

“ไม่ต้องกังวล” มาร์โก้พูด “เจ้าจะหลับเมื่อข้าตื่น และข้าจะทำเช่นเดียวกันเพื่อเจ้า ถ้าเจ้าขยะนั่นมาใกล้พวกเรา พวกมันจะต้องเสียใจ”

อเล็คพยักหน้าอย่างยินดี เขามองไปยังค่ายทหารและรู้สึกสงสัย ห่างออกไม่กี่ฟุตจากทางเข้าที่เต็มไปด้วยผู้คน อเล็คได้กลิ่นเหงื่อไคลลอยออกมา เขาสัมผัสได้ถึงความสยดสยองขณะที่เขาถูกผลักเข้าไปข้างใน

อเล็คพยายามเพ่งสายตามองดูค่ายทหารที่มืดมิด มีเพียงแสงไฟริบหรี่ส่องผ่านออกมาจากหน้าต่างที่สูงอยู่ขึ้นไป เขาก้มมองดูพื้นที่สกปรก และตระหนักได้ทันที รถลากที่ว่าย่ำแย่แล้วยังสะอาดกว่าสถานที่แห่งนี้ ใบหน้าไม่เป็นมิตรที่เรียงแถวอยู่เบื้องหน้ามีเพียงนัยน์ตาขาวของพวกเขาเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้ พวกเขาเริ่มส่งเสียงโห่ร้อง เห็นได้ชัดว่ากำลังข่มขู่เด็กใหม่อย่างพวกเขา เพื่อแบ่งแยกอาณาเขต ค่ายทหารเต็มไปด้วยเสียงดังอึกทึก

“เนื้อสด!” คนหนึ่งตะโกนขึ้น

“อาหารสำหรับกำแพงอัคคี!” อีกคนตะโกน

อเล็ครู้สึกหวาดหวั่น พวกเขาถูกผลักเข้าไปลึกขึ้นเรื่อย ๆ มาร์โก้อยู่เคียงข้างเขา ในที่สุดเขาก็หยุดอยู่ในห้องขนาดใหญ่ เบื้องหน้ามีกองฟางอยู่บนพื้น…เพียงกองเดียว ทันใดนั้นเขาถูกผลักจากด้านหลัง

“นั่นมันที่ของข้าไอ้หนู”

อเล็คหันไป พวกเจ้าถิ่นจ้องเขม็งมาที่เขา พร้อมถือมีดอยู่ในมือ

“เว้นแต่ว่าเจ้าต้องการให้ข้าเชือดคอของเจ้า” เขาเตือน

มาร์โก้ก้าวมาข้างหน้า

“เก็บกองฟางของเจ้าไว้เถอะ” เขาพูด “มันเหม็น”

ทั้งสองคนเดินลึกเข้าไปในค่ายทหาร จนกระทั่งมาถึงมุมที่อยู่ไกลสุด อเล็คพบกองฟางเล็ก ๆ อยู่ในเงามืด เขามองไม่เห็นใครอยู่ใกล้ ๆ เขาและมาร์โก้จึงนั่งลงห่างกันไปไม่กี่ฟุต พิงหลังของพวกเขากับกำแพง

อเล็คถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ รู้สึกดีที่ได้พักความปวดระบบของขาและไม่ต้องเคลื่อนไหว เขารู้สึกปลอดภัยกับการนั่งพิงกำแพง ในมุมที่เขาไม่สามารถถูกซุ่มโจมตีได้โดยง่าย เขามองเห็นทั่วทั้งห้อง พวกทหารเกณฑ์เดินไปมา บ้างก็ทะเลาะกัน อีกหลายสิบคนกำลังเดินเข้ามา เขาเห็นคนตายหลายคนถูกลากข้อเท้าออกไป สถานที่แห่งนี้คือนรกดี ๆ นี่เอง

“ไม่ต้องกังวล มันแย่ยิ่งกว่านี้อีก” มีเสียงพูดขึ้นมาด้านข้าง

อเล็คหันไป ทหารเกณฑ์คนหนึ่งในเงามืด อยู่ห่างออกไปไม่กี่ฟุต เด็กผู้ชายที่เขาทันสังเกตเห็นมาก่อน เขานอนเอนหลัง มือหนุนหัว มองไปที่เพดาน เคี้ยวเศษฟาง เสียงของเขาบ่งบอกถึงความเบื่อหน่าย

“ความอดอยากจะฆ่าเจ้า” เด็กคนนั้นพูดต่อ “เด็กกว่าครึ่งที่มาที่นี่ตายด้วยความอดอยาก ส่วนใหญ่ตายด้วยโรคร้าย นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้ เด็กคนอื่นจะฆ่าเจ้า บางทีเจ้าอาจจะสู้เพื่อเศษขนมปัง…หรือไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล บางทีเขาอาจไม่ชอบวิธีเดินของเจ้า หรือหน้าตาของเจ้า บางทีเจ้าอาจทำให้เขานึกถึงใคร หรือมันอาจเป็นแค่ความเกลียดชังโดยไม่มีเหตุผล มีหลายอย่างเกิดขึ้นที่นี่”

เขาถอนหายใจ

“และถ้าทั้งหมดนั้นยังทำอะไรเจ้าไม่ได้” เขาพูดต่อ “เปลวเพลิงจะจัดการเจ้า อาจจะไม่ใช่จากการลาดตระเวนครั้งแรกหรือครั้งที่สอง แต่เมื่อโทรลหลุดเข้ามาในเวลาที่เจ้าไม่คาดคิด เปลวไฟที่ติดตัวมันมา มันมักจะมองหาอะไรบางอย่างเพื่อที่จะฆ่า พวกมันไม่มีอะไรจะเสีย มันชอบออกมาโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียง ข้าเห็นตัวหนึ่งในคืนก่อน มันฝังเขี้ยวลงไปในคอของเด็กผู้ชาย ก่อนที่คนอื่น ๆ จะทันลงมือ”

อเล็คมองดูมาร์โก้ กำลังสงสัยว่าชีวิตแบบไหนที่ทำให้เขาหลวมตัวเข้ามา

“ไม่สิ” เขาพูดต่อ “ข้าไม่เคยเห็นเด็กคนไหนมีชีวิตรอดมากกว่าหนึ่งคืนพระจันทร์”

“แต่เจ้ายังคงอยู่ที่นี่” มาร์โก้พูด

เด็กผู้ชายยิ้ม เคี้ยวฟางและมองขึ้นไป

“นั่นเพราะข้าได้เรียนรู้วิธีการเอาชีวิตรอด” เขาตอบ

“เจ้าอยู่ที่นี่มานานแค่ไหน?” อเล็คถาม

“สองคืนพระจันทร์” เขาตอบ “ยาวนานที่สุดในหมู่พวกนั้น”

อเล็คอ้าปากค้าง สองคืนพระจันทร์นับเป็นนักรบที่อาวุโสสูงสุด ที่นี่คือโรงงานแห่งความตายอย่างแท้จริง เขาเริ่มสงสัยว่าการมาที่นี่ช่างเป็นเรื่องผิดพลาดเสียแล้ว บางทีเขาควรสู้กับแพนดิเซียในโซลิสเมื่อพวกเขามาถึง แล้วตายอย่างรวดเร็วและเรียบง่ายที่บ้าน อเล็คเริ่มคิดที่จะหนี พี่ชายของเขาได้รับการละเว้น…แล้วเขาล่ะได้อะไรจากการอยู่ที่นี่?

อเล็คกำลังมองดูกำแพง ตรวจสอบหน้าต่างและประตู นับจำนวนทหารยาม สงสัยว่าจะมีวิธีหรือไม่

“นั่นเป็นสิ่งที่ดี” เด็กผู้ชายพูด ในขณะที่ยังคงจ้องมองเพดาน “การคิดที่จะหนี คิดถึงอะไรก็ได้นอกจากที่นี่ นั่นคือวิธีที่เจ้าจะรอด”

อเล็คหน้าแดง รู้สึกละอาย สงสัยว่าเด็กคนนั้นอ่านใจของเขาได้อย่างไร

“แต่อย่าได้ลองมันเชียว” เขาพูด “ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้ว่ามีคนตายไปแล้วเท่าไรในแต่ละคืนจากการพยายามหนี ถูกฆ่าซะยังจะดีกว่าต้องตายแบบนั้น”

“ตายแบบไหน?” มาร์โก้ถาม “พวกมันทรมานเจ้าหรือ?”

เขาส่ายหัว

“เลวร้ายมาก” เขาตอบ “พวกมันปล่อยเจ้าไป”

อเล็คจ้องกลับมา รู้สึกสับสน

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” เขาถาม

“พวกมันเลือกจุด” เขาอธิบาย “ป่าข้างนอกเต็มไปด้วยความตาย หมูป่า สัตว์ร้าย โทรล…ทุกอย่างที่เจ้าจะจินตนาการได้ ไม่มีใครเคยรอดชีวิต”

เด็กผู้ชายยิ้ม และหันมามองพวกเขาเป็นครั้งแรก

“ยินดีต้อนรับ” เขาพูดพร้อมยิ้มกว้าง “สู่กำแพงอัคคี”

บทที่ยี่สิบสอง

ไคร่าเดินไปบนถนนที่คดเคี้ยวของโวลิส เสียงหิมะถูกเหยียบย่ำดังอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเธอ เธอยังคงรู้สึกงุนงงหลังจากการต่อสู้ครั้งแรก ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โหดร้ายและรุนแรงเกินกว่าที่เธอเคยคาดคิด คนตาย…คนดี ๆ…คนที่เธอรู้จักมาตลอดชีวิต พวกเขาตายด้วยวิธีที่โหดร้ายและเจ็บปวด พ่อ พี่น้องและสามีต่างนอนตายอยู่ในหิมะ ศพของพวกเขากองอยู่นอกป้อมปราการ พื้นหิมะแข็งเกินไปที่จะฝังพวกเขา

เธอหลับตาลง พยายามสลัดภาพเหล่านั้นออกไป

มันเป็นชัยชนะที่ยอดเยี่ยม และทำให้เธอถ่อมตน ทำให้เธอเห็นว่าสงครามที่แท้จริงเป็นอย่างไร ชีวิตช่างเปราะบางแค่ไหน มันแสดงให้เธอเห็นว่ามนุษย์ตายง่ายเพียงใด…และเธอสามารถพรากชีวิตมนุษย์ได้ง่ายดายขนาดไหน…เธอรู้สึกว่าทั้งหมดนี้กำลังรบกวนจิตใจของเธอ

การเป็นนักรบที่ยอดเยี่ยมคือสิ่งที่เธอปรารถนาเสมอมา บัดนี้เธอเห็นแล้วว่ามันต้องแลกด้วยบทเรียนราคาแพง เกียรติคือสิ่งที่เธอพยายามไขว่คว้า เธอตระหนักแล้วว่าไม่มีสิ่งใดเป็นเรื่องง่าย ไม่เหมือนกับสิ่งที่ได้หลังจากชัยชนะ มันไม่ใช่สิ่งที่เธอสามารถถือไว้ในมือ ไม่ใช่สิ่งที่เธอสามารถแขวนไว้บนผนัง แต่มันยังคงเป็นสิ่งที่มนุษย์ต่อสู้อย่างมุ่งมั่น สิ่งที่เรียกว่าเกียรติอยู่ที่ไหน? ตอนนี้สงครามสิ้นสุดลงแล้ว เกียรติหายไปไหน?

เหนือสิ่งอื่นใด เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ไคร่าสงสัยเกี่ยวกับตัวเธอเอง พลังลึกลับที่มาจากที่ไหนไม่รู้ ดูเหมือนจะหายไปอย่างรวดเร็ว เธอพยายามเรียกมันอีกครั้ง แต่ไม่สามารถทำได้ มันคืออะไร? มันมาจากไหน? ไคร่าไม่ชอบสิ่งที่เธอไม่สามารถเข้าใจ สิ่งที่เธอไม่สามารถควบคุมได้ เธอยอมมีพลังน้อยลง แต่เข้าใจที่มาความสามารถของตัวเองเสียดีกว่า

ไคร่าเดินไปบนถนน เธอรู้สึกแปลกใจกับท่าทีของชาวบ้าน หลังจากการต่อสู้เธอคิดว่าพวกเขาคงจะตื่นตระหนก ปิดประตูบ้านหรือเตรียมตัวหนีออกไปจากป้อม หลังจากเกิดเรื่องราวทั้งหมดนี้ การที่ทหารของลอร์ดหลายคนต้องตาย แน่นอนว่าในไม่ช้าพวกเขาจะได้พบกับความโกรธเกรี้ยวของแพนดิเซีย กองทัพอันยิ่งใหญ่และเลวร้ายจะมาทำลายพวกเขา อาจจะเป็นวันพรุ่งนี้ วันมะรืน หรืออีกหนึ่งอาทิตย์…แต่ที่แน่ ๆ พวกมันจะมาอย่างแน่นอน ตอนนี้พวกเขาคือศพเดินได้ ทำไมพวกชาวบ้านถึงไม่เกรงกลัว?

ในขณะที่กำลังเดินปะปนอยู่กับผู้คนของเธอ ไคร่าไม่เห็นความกลัวใด ๆ ตรงกันข้ามเธอกลับมองเห็นความปิติยินดี การตื่นตัว และฟื้นคืนสู่สภาพปกติ เธอมองเห็นผู้คนได้รับการปลดปล่อย พวกเขาเดินไปมาทุกทิศทาง ปรบมือกัน เฉลิมฉลอง…และเตรียมพร้อม พวกเขากำลังลับอาวุธ เสริมความแข็งแรงให้กับประตู ก่อกองหินให้สูงขึ้น กักเก็บอาหาร และรีบเร่งอย่างมีจุดหมาย ชาวโวลิสเริ่มมีจิตใจที่แข็งแกร่งเหมือนพ่อของเธอ พวกเขาคือผู้ที่จะไม่ยอมถอยหลังโดยง่าย ในความจริงดูเหมือนว่าพวกเขากำลังรอคอยการเผชิญหน้าครั้งต่อไป ไม่ว่าจะต้องสูญเสียอะไรก็ตาม และไม่ว่าผลที่ออกมาจะน่ากลัวเพียงใด

ไคร่าสังเกตเห็นบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ สายตาที่พวกเขามองมาที่เธอ เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เธอทำได้เผยแพร่ออกไป เธอรับรู้ได้ถึงเสียงกระซิบข้างหลัง ทุกคนมองมาราวกับว่าเธอไม่ใช่พวกเขา ผู้คนเหล่านี้ที่เธอรู้จักและรักมาตลอดทั้งชีวิตของเธอ มันทำให้เธอรู้สึกว่าเธอเป็นคนแปลกหน้าที่นี่ และเธอเริ่มสงสัยว่าบ้านเกิดจริง ๆ ของเธอคือที่ไหน เหนือสิ่งอื่นใด มันทำให้เธอสงสัยความลับของพ่อ

ไคร่าเดินไปยังกำแพงป้องกัน ไต่หินขึ้นไปที่ละขั้น เลโออยู่ข้างหลังเธอ ผ่านทหารของพ่อที่ยืนเฝ้ายามอยู่ทุกยี่สิบฟุตหรือมากกว่า เธอเห็นว่าสายตาของทุกคนได้เปลี่ยนไป ตอนนี้แววตาของพวกเขาแสดงถึงความเคารพ ท่าทางเหล่านั้นทำให้เธอคิดว่าสิ่งที่ได้ทำลงไปช่างคุ้มค่าสำหรับเธอ

ไคร่าเลี้ยวตรงหัวมุม เหนือประตูโค้งไกลออกไปมีคนกำลังยืนอยู่ มองออกไปยังชานเมือง คนที่เธอเดินมาหา พ่อของเธอยืนนิ่ง วางมืออยู่บนสะโพก ทหารหลายคนล้อมรอบตัวเขา จ้องมองออกไปยังหิมะที่กำลังตก เขากระพริบตาให้กับสายลมอย่างไม่สะทกสะท้าน…ไม่แสดงถึงความเจ็บปวดของบาดแผลที่ได้จากการต่อสู้

เขาหันกลับมาที่เธอและชี้สั่งคนของเขา ทั้งหมดเดินออกไป ปล่อยให้พวกเขาอยู่ตามลำพัง

เลโอวิ่งมาข้างหน้าและเลียมือของเขา พ่อของเธอลูบหัวของมันเบา ๆ

ไคร่ายืนเผชิญหน้ากับพ่อของเธอเพียงลำพัง เธอไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร เขามองมาที่เธอ ไร้ซึ่งสีหน้าใด ๆ เธอไม่สามารถบอกได้ว่าเขากำลังโกรธ ภูมิใจ หรือทั้งสองอย่าง เขาเป็นผู้ชายที่ซับซ้อนแม้แต่ในเวลาที่เรียบง่าย…และนี่ไม่ใช่เวลาเรียบง่าย ใบหน้าของเขาดูแข็งกระด้าง ดุจดังภูเขาที่อยู่เบื้องหน้า เขาดูเหมือนก้อนหินโบราณจากโวลิสที่ถูกทิ้งร้าง เธอไม่รู้ว่าเขาดูกลมกลืนกับที่นี่ หรือสถานที่แห่งนี้กลมกลืนกับเขา

เขาหันกลับไปมองที่ชานเมือง เธอยืนเคียงข้างเขาและมองออกไปเช่นกัน ทั้งคู่อยู่ในความเงียบสงบ มีเสียงลมพัดผ่านมา เธอกำลังรอฟังเขาพูด

 

“ข้าเคยคิดว่าความปลอดภัยของเรา การใช้ชีวิตของเราที่นี่ คือสิ่งสำคัญมากกว่าอิสรภาพ” เขาพูดออกมาในที่สุด น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ “วันนี้ข้ารู้แล้วว่าข้าคิดผิด เจ้าได้สอนในสิ่งที่ข้าลืม อิสรภาพ เกียรติยศ เป็นสิ่งที่คุ้มค่าเหนือกว่าอื่นใด”

เขามองมาที่เธอด้วยรอยยิ้ม เธอรู้สึกโล่งใจที่เห็นความอบอุ่นในสายตาคู่นั้น

“เจ้าได้มอบของขวัญอันยิ่งใหญ่ให้แก่ข้า” เขาพูด “เจ้าได้ทำให้ข้านึกถึงความหมายของเกียรติยศ”

เธอยิ้ม ประทับใจกับคำพูดของเขา ดีใจที่พ่อไม่โมโหเธอ รู้สึกเหมือนความสัมพันธ์ของพวกเขากำลังฟื้นคืน

“มันเป็นเรื่องยากที่จะเห็นผู้คนล้มตาย” เขาพูดต่ออย่างไตร่ตรอง หันกลับไปยังชานเมือง “แม้แต่กับข้า”

ความเงียบอันยาวนานตามมา ไคร่าสงสัยว่าเขาต้องการพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่ เธอต้องการเริ่มต้นพูดด้วยตัวของเธอเอง แต่ไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไร

“ท่านพ่อ ข้าแตกต่างใช่ไหม?” เธอถามด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม หวาดกลัวกับการเอ่ยคำถาม

เขายังคงจ้องมองออกไปที่ขอบฟ้า ยากที่จะเข้าใจได้ จนกระทั่งเขาพยักหน้าเล็กน้อย

“มันเกี่ยวกับท่านแม่ของข้าใช่หรือไม่ ?” เธอถามต่อ “เธอคือใคร? ข้าคือลูกของท่านจริงหรือไม่?”

เขาหันมามองที่เธอ ความเศร้าโศกแฝงอยู่ในดวงตาของเขา ผสมกับใบหน้าที่คุ้นเคย ซึ่งเธอไม่ค่อยเข้าใจมากนัก

“คำถามเหล่านี้เหมาะสำหรับเวลาอื่น” เขาพูด “เมื่อเจ้าพร้อม”

“ข้าพร้อมแล้วตอนนี้” เธอยืนยัน

เขาส่ายหัว

“ไคร่า ยังมีอีกหลายอย่างที่เจ้าต้องเรียนรู้ ความลับหลายอย่างที่ข้าเก็บเอาไว้” เขาพูด น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสำนึกผิด “มันทำให้ข้าเจ็บปวด แต่ทั้งหมดเพื่อปกป้องเจ้า เวลาที่เจ้าจะได้รู้ทุกอย่าง เจ้าจะได้รู้ว่าเจ้าคือใคร เวลานั้นใกล้มาถึงแล้ว”

เธอยืนนิ่ง หัวใจของเธอเต้นรัว ต้องการรู้แทบขาดใจ แต่ก็รู้สึกกลัวในเวลาเดียวกัน

“ข้าคิดว่าข้าสามารถเลี้ยงดูเจ้าได้” เขาถอนหายใจ “พวกเขาเตือนข้าว่าวันนี้จะต้องมาถึง แต่ข้าไม่เชื่อ ไม่จนกระทั่งวันนี้ ไม่จนกระทั่งข้าเห็นทักษะของเจ้า พรสวรรค์ของเจ้า…ที่เหนือกว่าข้า”

เธอขมวดคิ้วอย่างสับสน

“ท่านพ่อ ข้าไม่เข้าใจ” เธอพูด “ท่านกำลังพูดถึงอะไร?”

ใบหน้าของเขาดูเหมือนจะตัดสินใจได้

“มันถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะต้องจากเราไป” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริง น้ำเสียงที่เขาใช้เมื่อเขาตั้งใจอย่างแน่วแน่ “เจ้าต้องไปจากโวลิสและค้นหาลุงของเจ้า เอคิส พี่ชายของแม่เจ้าอยู่ที่หอคอยเยอร์”

“หอคอยเยอร์” เธอย้ำ รู้สึกตกใจ “ลุงของข้าคือผู้เฝ้ามองหรือ?”

พ่อของเธอส่ายหัว

“เขาเป็นมากกว่านั้น เขาต้องฝึกฝนเจ้า…และมีเพียงเขา เขาเท่านั้นที่สามารถเปิดเผยความลับว่าเจ้าคือใคร”

เธอกำลังฟังความลับที่ทำให้เธอหวาดกลัว การไปจากโวลิสเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยคาดคิด

“ข้าไม่ต้องการไป” เธอพูด “ข้าต้องการอยู่ที่นี่กับท่าน โดยเฉพาะตอนนี้ มากกว่าเวลาใด”

เขาถอนหายใจ

“โชคไม่ดีนัก สิ่งที่เจ้าและข้าต้องการไม่มีความสำคัญอีกต่อไปแล้ว” เขาพูด “สิ่งนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าหรือข้าอีกต่อไป มันเกี่ยวกับเอสคาลอน…เอสคาลอนทั้งหมด โชคชะตาของดินแดนแห่งนี้อยู่ในมือของเจ้า เจ้าไม่เห็นหรือ ไคร่า?” เขาพูดพร้อมหันมาหาเธอ “มันคือเจ้า เจ้าคือผู้นั้น ผู้ที่จะนำพาพวกเราทั้งหมดออกไปจากความมืดมิด”

เธอกระพริบตาอย่างตกตะลึง แทบจะไม่เชื่อคำพูดของเขา

“อย่างไร?” เธอถาม “มันจะเป็นไปได้อย่างไร?”

แต่เขาเงียบไป ปฏิเสธที่จะพูดต่อ

“ข้าไม่สามารถไปจากท่านได้ ท่านพ่อ” เธออ้อนวอน “ข้าจะไม่ไป ไม่ใช่ตอนนี้”

เขามองไปยังชานเมืองด้วยแววตาที่โศกเศร้า

“ภายในคืนพรุ่งนี้ ทั้งหมดที่เจ้าเห็นที่นี่จะถูกทำลายล้าง พวกเราไม่มีความหวังแล้ว เจ้าต้องหนีไปในตอนที่ยังสามารถทำได้ เจ้าคือความหวังเดียวของเรา…การตายของเจ้าที่นี่พร้อมกับพวกเราจะไม่ช่วยเหลือใคร”

ไคร่ารู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดของพ่อ เธอไม่สามารถพาตัวของเธอออกไปจากที่นี่ได้ในขณะที่ผู้คนของเธอต้องตาย

“พวกมันจะกลับมาใช่หรือไม่?” เธอถาม

มันคือคำพูดมากกว่าคำถาม

“พวกมันจะมา” เขาตอบ “พวกมันจะยกกองทัพขนาดมหึมาราวกับฝูงตั๊กแตนเพื่อถล่มโวลิสให้ย่อยยับ ทุกสิ่งที่เจ้ารักและรู้จักจะไม่มีอีกต่อไป”

คำตอบของเขาทำให้เธอรู้สึกเคว้งคว้างในท้อง เธอรู้ว่ามันคือความจริง

“แล้วเมืองหลวงล่ะ?” ไคร่าถาม “พระราชาองค์ก่อนล่ะ? ท่านไม่กลับไปยังเอนดรอสเพื่อฟื้นฟูกองทัพเก่าและลุกขึ้นต่อสู้หรือ?”

เขาส่ายหัวออกมา

“พระราชายอมจำนนแล้ว” เขาพูดอย่างน้อยใจ “เวลาต่อสู้ได้ผ่านไปแล้ว ตอนนี้เอนดรอสถูกควบคุมโดยนักการเมือง ไม่ใช่ทหาร และไม่มีใครสามารถไว้ใจได้”

“แต่พวกเขาจะต้องลุกขึ้นสู้เพื่อเอสคาลอนแน่นอน ถ้าไม่ใช่เพื่อโวลิส” เธอยืนกราน

“โวลิสเป็นเพียงแค่ป้อมปราการ” เขาพูด “พวกเขาไม่จำเป็นต้องสนใจ ชัยชนะของเราในวันนี้ยิ่งใหญ่สำหรับเรา แต่เล็กเกินไปสำหรับพวกเขาที่จะเสี่ยงกับการปลุกระดมทั้งเอสคาลอน”

ทั้งคู่กลับสู่ความเงียบงัน จ้องมองไปเส้นขอบฟ้า ไคร่าไตร่ตรองถึงคำพูดของพ่อ

“ท่านกลัวหรือ?” เธอถาม

“ผู้นำที่ดีต้องรู้จักกลัว” เขาตอบ “ความกลัวช่วยลับคมความรู้สึก  และช่วยให้เราเตรียมพร้อม ไม่ใช่ความตายที่ข้ากลัว…มันคือการไม่ได้ตายที่บ้านเกิด”

ความเงียบอันยาวนานปกคลุมบรรยากาศ เธอตระหนักถึงความจริงในคำพูดของพ่อ

ในที่สุดเขาก็หันมาหาเธอ

“ตอนนี้มังกรของเจ้าอยู่ที่ไหน?” เขาถามขึ้นและเดินออกไป ทิ้งให้เธออยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว

ไคร่ายืนมองออกไปยังขอบฟ้า น่าแปลกที่เธอก็กำลังสงสัยเรื่องเดียวกัน ท้องฟ้าที่ว่างเปล่าเบื้องหน้า กลุ่มก้อนเมฆที่ลอยละลิ่ว เธอเฝ้าหวังจากส่วนลึกของจิตใจ หวังว่าจะได้ยินเสียงร้อง และเห็นปีกของมันโผล่ออกมาจากก้อนเมฆ

แต่มองไม่เห็นอะไร ไม่มีสิ่งใดนอกจากความว่างเปล่าและความเงียบงัน คำถามของพ่อดังก้องอยู่ในหัว

“ตอนนี้มังกรของเจ้าอยู่ที่ไหน?”