Tasuta

กลายร่าง

Tekst
Märgi loetuks
Šrift:Väiksem АаSuurem Aa

บทที่สิบเอ็ด

เคทลินรู้สึกได้ว่าเขากำลังบินช้าลงเรื่อย ๆ เธอลืมตาขึ้น เธอไม่รู้จักตึกที่อยู่ด้านล่างนั่นเลย มองดูเหมือนพวกเขาอยู่ในตัวเมือง อาจจะเป็นที่ไหนสักแห่งในเมืองบรองซ์

เมื่อบินต่ำลงมา พวกเขาบินผ่านสวนเล็ก ๆ และที่ตั้งอยู่ในระยะไกลข้างหน้า เธอคิดว่ามันเป็นปราสาท เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้มากขึ้น เธอรู้ได้ทันทีว่ามันคือปราสาทแน่นอน ทำไมปราสาทมาตั้งอยู่ในนิวยอร์ก?

เธอรู้สึกงง และคิดว่าเธอเคยเห็นปราสาทนี้มาก่อน บนโปสการ์ดบางอย่าง...ใช่แล้ว มันคือพิพิธภัณฑ์ เมื่อพวกเขาเคลื่อนต่อไปยังเนินเล็ก ๆ บินไปเหนือป้อมปราการ กำแพงยุคกลางขนาดเล็ก เธอจดจำได้ทันทีว่ามันคืออะไร ที่นี่คือคลอยสเตอร์ พิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่ถูกนำมาจากยุโรปทีละชิ้น มีอายุหลายร้อยปี ทำไมเขาถึงพาเธอมาที่นี่?

เขาบินคล้อยต่ำมาอย่างนุ่มนวลเหนือกำแพงด้านนอก ผ่านเฉลียงหินขนาดใหญ่ที่มองเห็นแม่น้ำฮัดสันได้ทั่ว เขาร่อนลงในความมืดมิด แต่เท้าของเขาสามารถแตะลงบนหินได้อย่างงดงาม และเขาค่อย ๆ ปล่อยเธอลงมา

เธอยืนอยู่ที่นั่น มองหน้าเขา เธอมองเขาใกล้ ๆ หวังว่าเขาจะเป็นเรื่องจริง หวังว่าเขาจะไม่บินหนีไป และหวังว่าเขาจะยังคงสง่างามเหมือนครั้งแรกที่เธอพบเขา

เขายังอยู่ตรงนั้น อย่างที่เขาเป็น เขามองลงมาที่เธอด้วยดวงตาสีน้ำตาลขนาดใหญ่ ในช่วงเวลานั้น เธอรู้สึกเหมือนตัวเองหลงทาง

มีคำถามมากมายเหลือเกินที่เธอต้องการจะถาม เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องเริ่มตรงไหน เขาคือใคร? เขาสามารถบินได้อย่างไร? เขาเป็นแวมไพร์หรือ? ทำไมเขาจึงเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเธอ? ทำไมเขาพาเธอมาที่นี่? และที่สำคัญที่สุด ทุกอย่างที่เธอเห็นเป็นแค่ภาพหลอนหรือเปล่า? หรือว่าแวมไพร์มีอยู่จริง ในนิวยอร์ก? และเธอคือหนึ่งในพวกมันหรือ?

เธออ้าปากพูด แต่สิ่งที่เธอพูดออกมาคือ “ทำไมเรามาอยู่ที่นี่?”

เธอรู้ว่ามันเป็นคำถามโง่ ๆ ตอนที่เธอถามออกมา เธอรู้สึกเกลียดตัวเองที่ไม่ยอมถามบางอย่างที่สำคัญกว่า การยืนอยู่ตรงนั้นท่ามกลางค่ำคืนอันหนาวเย็นของเดือนมีนาคมทำให้หน้าของเธอรู้สึกชาเล็กน้อย มันคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เธอสามารถทำได้

เขามองกลับมาที่เธอ สายตาของเขาเหมือนกำลังมองทะลุจิตวิญญาณของเธอ ราวกับว่าเขามองเห็นทุกอย่างในตัวเธอ ดูเหมือนเขากำลังชั่งใจว่าจะบอกเธอแค่ไหนดี

และในที่สุดเขาก็อ้าปากพูด

“คาเลป!” เสียงหนึ่งตะโกนขึ้น พวกเขาทั้งคู่หันไป

กลุ่มคน --- แวมไพร์? --- ทั้งหมดแต่งกายชุดดำ เดินตรงมาที่พวกเขา คาเลปหันไปและเผชิญหน้ากับพวกเขา คาเลป เธอชอบชื่อนั้น

“เราไม่รู้ว่าเจ้าจะกลับมา” ผู้ชายที่อยู่ตรงกลางพูด ดูจริงจัง

“ข้าไม่ได้แจ้งให้ทราบ” คาเลปตอบแบบเรียบง่าย

“ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะพาเจ้าไปยังห้องรับรอง” เขาพูด พยักหน้ากับคนของเขา ซึ่งค่อย ๆ เดินมาล้อมข้างหลังคาเลปและเคทลิน “กฎระเบียบ”

คาเลปพยักหน้าอย่างไม่กังวล ผู้ชายที่ตรงกลางมองมาที่เคทลิน เธอมองเห็นถึงการไม่ยอมรับในสายตาของเขา

“เจ้ารู้ไหมว่าเราไม่สามารถให้เธอเข้าไปข้างในได้” ชายผู้นั้นพูดกับคาเลป

“แต่เจ้าจะต้องพาไป” คาเลปตอบน้ำเสียงเรียบเฉย เขาจ้องกลับไปยังผู้ชาย ซึ่งมีความมุ่งมั่นพอกัน

ชายที่ยืนอยู่ตรงนั้น เธอสามารถมองออกว่า เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะต้องทำอย่างไร ความเงียบงันอันยาวนานตามมา

“ก็ได้” เขาพูดขึ้น หันหลังกลับทันที และนำทางไป “มันคืองานศพของคุณ”

คาเลปตามไป เคทลินเดินไปข้าง ๆ เขา ไม่แน่ใจว่าต้องตัวทำอย่างไร

เขาเปิดประตูยุคกลางขนาดใหญ่ออก จับไปที่วงแหวนทองเหลืองขนาดใหญ่ เขาก้าวไปด้านข้าง เพื่อคอยดูคาเลปเดินเข้าไป ผู้ชายอีกสองคนแต่งกายชุดดำอยู่ข้างใน พวกเขากำลังยืนตรง

คาเลปจับมือเคทลิน และพาเธอเข้าไป เธอผ่านทางเดินที่มีหลังคาทรงโค้ง ทำจากหินขนาดใหญ่ เธอรู้สึกเหมือนกำลังเข้าไปสู่อีกยุคสมัย

“หวังว่าเราคงไม่ต้องจ่ายค่าเข้า” เคทลินพูดกับคาเลป และยิ้มให้

เขามองมาที่เธอและกระพริบตา ใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะรู้ว่ามันคือมุขตลก ในที่สุดเขาก็ยิ้มออกมา

เขามีรอยยิ้มที่งดงาม

มันทำให้เธอคิดถึงโจนาห์ เธอรู้สึกสับสน ความรู้สึกนี้ไม่เหมือนกับที่เธอเคยมีให้กับเด็กผู้ชายคนไหน --- แน่นอนว่าไม่ใช่พวกเขาสองคนในเวลาเดียวกัน เธอยังคงรู้สึกดีกับโจนาห์ แต่กับคาเลปนั้นต่างออกไป โจนาห์คือเด็กผู้ชาย คาเลปดูเป็นผู้ชาย แม้ว่าเขาจะยังดูหนุ่ม หรือว่าเขาเป็น...อย่างอื่น? มันมีอะไรบางอย่างที่เธอไม่สามารถอธิบายได้ บางอย่างที่เธอไม่อาจละสายตา บางอย่างที่ทำให้เธอไม่อยากอยู่ห่างเขา เธอชอบโจนาห์ แต่เธอต้องการคาเลป การอยู่ใกล้เขาเหมือนรวมทุกอย่างไว้ด้วยกัน

รอยยิ้มของคาเลปหายไปอย่างรวดเร็วพอ ๆ กับที่ตอนเขายิ้มออกมา เขาดูกระวนกระวายใจอย่างชัดเจน

“ข้าเกรงว่าค่าเข้าจะมีราคาสูงกว่ามาก” เขาพูด “ถ้าการพบกันครั้งนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ข้าคาดหวังไว้”

เขาพาเธอผ่านประตูหินโค้งอีกบานหนึ่ง และเข้าไปยังสวนยุคกลางขนาดเล็ก สมมาตรกันอย่างสมบูรณ์แบบ ล้อมรอบด้วยเสาทั้งสี่ด้านและประตูรูปโค้ง สวนแห่งนี้ได้รับแสงสว่างจากดวงจันทร์ มันช่างสวยงาม เธอไม่สามารถจินตนาการได้ว่ามันมาอยู่ในนิวยอร์กได้อย่างไร มันควรจะตั้งอยู่ในชานเมืองของยุโรป

พวกเขาเดินข้ามสวน และเดินลงไปตามโถงทางเดินที่ทำด้วยหิน เสียงฝีเท้าของพวกเขาดังสะท้อน พวกเขาถูกติดตามโดยคนคุ้มกันจำนวนมาก แวมไพร์? เธอสงสัย ทำไมพวกเขาดูเป็นอารยชน? ทำไมพวกเขาไม่โจมตีคาเลปหรือเธอ?

พวกเขาเดินไปยังทางเดินเชื่อมอีกอันที่ทำจากหิน ผ่านประตูยุคกลางอีกบาน และทันใดนั้นพวกเขาก็หยุด

ผู้ชายอีกคนยืนอยู่ที่นั่น แต่งกายชุดดำ เขาดูคล้ายกับคาเลปมาก เขาสวมผ้าคลุมสีแดงขนาดใหญ่เหนือไหล่ของเขา และถูกขนาบข้างโดยบริวารมากมาย เขาดูเหมือนจะเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของที่นี่

“คาเลป” เขาพูดอย่างนุ่มนวล ดูเหมือนเขาตกใจที่พบคาเลป

คาเลปยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ มองกลับไป

“ซามูเอล” คาเลปตอบเสียงเรียบ

ผู้ชายที่ยืนตรงนั้นจ้องมา และส่ายหัวของเขาเล็กน้อย

“ไม่คิดจะกอดน้องชายที่หายไปนานหน่อยหรอ?” คาเลปถาม

“เจ้ารู้ไหม นี่เป็นเรื่องร้ายแรง” ซามูเอลตอบ “เจ้าได้ละเมิดกฎมากมายในการมาที่นี่คืนนี้ โดยเฉพาะการพาเธอมา”

ผู้ชายคนนั้นไม่แม้แต่จะมองมาที่เคทลิน เธอรู้สึกเหมือนโดนตำหนิ

“แต่ข้าไม่มีทางเลือก” คาเลปพูด “วันนั้นมาถึงแล้ว สงครามอยู่ที่นี่แล้ว”

เสียงพึมพำอันแผ่วเบาดังขึ้นในหมู่แวมไพร์ที่ยืนอยู่เบื้องหลังซามูเอล และกลุ่มแวมไพร์ที่อยู่ข้างหลังเธอ เคทลินหันไปมองและเห็นว่ามีพวกเขาสิบกว่าคนกำลังล้อมรอบอยู่ เธอเริ่มรู้สึกอึดอัด พวกเขายืนอยู่จำนวนมาก และไม่มีทางออก เธอไม่รู้ว่าคาเลปทำอะไรไว้ แต่ไม่ว่ามันคืออะไรก็ตาม เธอหวังว่าเขาจะสามารถพูดหาทางออกได้

ซามูเอลยกมือขึ้น เสียงพึมพำหยุดลง

“อีกอย่าง” คาเลปพูดต่อ “ผู้หญิงคนนี้” เขาพูด พร้อมพยักหน้าไปยังเคทลิน “เธอคือผู้ถูกเลือก”

ผู้หญิง เคทลินไม่เคยถูกเรียกแบบนี้มาก่อน เธอชอบมัน แต่เธอไม่เข้าใจคำว่า ผู้ถูกเลือก? เขาใช้สำนวนตลก ๆ ราวกับว่าเขากำลังพูดเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์หรือบางอย่าง เธอสงสัยว่าพวกเขาทั้งหมดบ้าไปแล้ว

เสียงพึมพำดังขึ้นอีกครั้ง และทั้งหมดมองมาที่เธอ

“ข้าต้องการเข้าพบสภา” คาเลปพูด “และข้าต้องพาเธอไปกับข้า”

ซามูเอลส่ายหัว

“เจ้ารู้ว่าข้าไม่สามารถหยุดเจ้าได้ ข้าทำได้เพียงแนะนำ ข้าขอแนะนำให้เจ้ากลับไปซะ กลับไปยังตำแหน่งและรอคำเรียกจากสภา”

คาเลปจ้องกลับไป “ข้าเกรงว่าไม่สามารถทำได้” เขาพูด

“เจ้ามักจะทำอย่างที่เจ้าต้องการ” ซามูเอลพูด

ซามูเอลก้าวไปด้านข้าง และผายมือของเขาเพื่อสื่อว่าเขาปล่อยให้ผ่านไปได้

“ภรรยาของเจ้าจะต้องไม่พอใจ” ซามูเอลพูด

ภรรยา? เคทลินคิด รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาที่กระดูกสันหลัง ทำไมจู่ ๆ เธอจึงรู้สึกอิจฉาขึ้นมา? ความรู้สึกของเธอที่มีต่อคาเลปพัฒนาไปไกลขนาดนั้นได้อย่างไร? เธอมีสิทธิ์อะไรที่จะไปหึงหวงเขา?

เธอรู้สึกว่าแก้มของเธอแดง ทำไมเธอต้องสนใจ มันดูไม่มีเหตุผลเลย แต่อย่างไรเธอก็สนใจอยู่ดี ทำไมเขาไม่บอกฉัน ---

“อย่าเรียกเธอแบบนั้น” คาเลปตอบ แก้มของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเช่นกัน “เจ้าก็รู้ว่า ---”

“รู้ว่าอะไร!?” เสียงผู้หญิงดังขึ้นมา

พวกเขาทั้งหมดหันไปมองผู้หญิงที่กำลังเดินตรงมาจากทางเดินด้านล่าง เธอแต่งกายชุดสีดำ ผมสีแดงประบ่า ดวงตาสีเขียวกลมโต รูปร่างสูง อายุยังน้อย และสวยงามอย่างน่าประทับใจ

เคทลินรู้สึกเจียมตัว ราวกับว่าเธอตัวหดลง นี่คือผู้หญิง หรือคือ...แวมไพร์? อะไรก็ตามที่เธอเป็น เธอคือสิ่งที่เคทลินไม่สามารถจะต่อกรด้วยได้ เธอรู้สึกว่าเธอมั่นใจน้อยลง เธอเตรียมใจยอมรับ ไม่เธอจะเป็นใครก็ตาม

“รู้ว่าอะไร!?” ผู้หญิงย้ำอีกครั้ง จ้องอย่างเกรี้ยวกราดไปที่คาเลปในขณะที่เดินไปหาเขา ห่างออกไปไม่กี่ฟุต เธอเพ่งมองมาที่เคทลิน และทำปากขู่ เคทลินไม่เคยเห็นใครมองมาที่เธอด้วยความเกลียดชังขนาดนี้มาก่อน

“เซร่า” คาเลปพูดอย่างนุ่มนวล “เราไม่ได้แต่งงานกันมา 700 ปีแล้ว”

“ในสายตาของเจ้า อาจจะเป็นเช่นนั้น” เธอเถียงกลับ

เธอเริ่มเดินวนรอบเคทลินและคาเลป มองมาที่เคทลินตั้งแต่หัวจรดเท้า ด้วยสายตาเหยียดหยาม

“เจ้ากล้าดียังไงถึงพาเธอมาที่นี่” เธอตะโกน “เจ้าน่าจะรู้ดี”

“เธอคือผู้ถูกเลือก” คาเลปตอบเสียงเรียบ

ผู้หญิงคนนี้ดูไม่ประหลาดใจ ไม่เหมือนกับคนอื่น แต่เธอกลับปล่อยเสียงหัวเราะดูถูกออกมาแทน

“ไร้สาระ” เธอตอบ “เจ้าพาสงครามมาหาเรา” เธอพูดต่อ “และทั้งหมดเพื่อมนุษย์คนเดียว เพียงแค่ความหลงใหล” เธอพูด ความโกรธของเธอเพิ่มขึ้น แต่ละประโยคที่เธอพูดดูเหมือนจะส่งผลต่อกลุ่มคนเบื้องหลัง พวกเขาเริ่มโกรธขึ้นมาอีกครั้ง กลายเป็นกลุ่มของผู้โกรธแค้น

“อันที่จริง” เซร่าพูดต่อ “เรามีสิทธิ์ที่จะฉีกเธอเป็นชิ้น ๆ”

กลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังเธอเริ่มส่งเสียงเห็นด้วย

ความโกรธปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคาเลป

“งั้นเจ้าคงต้องผ่านศพข้าไป” คาเลปตอบ จ้องกลับไปด้วยสายตาดุดัน

เคทลินรู้สึกถึงความอบอุ่นที่วิ่งผ่านเข้ามา เขาเดิมพันชีวิตของเขาเพื่อเธออีกครั้ง บางทีเขาอาจะห่วงใยเธอ

ซามูเอลเดินเข้ามาระหว่างพวกเขา และยกมือขึ้น กลุ่มคนเงียบลง

“คาเลปได้ขอให้มีการนั่งพิจารณาคดีกับสภา” เขาพูด “เราติดหนี้เขาเรื่องนั้น ปล่อยให้เขาได้พูดเรื่องของเขา ให้สภาตัดสิน”

“ทำไมเราต้องทำเช่นนั้น?” เซร่าเถียง

“เพราะนั่นคือสิ่งที่ข้าพูด” ซามูเอลตอบ น้ำเสียงหนักแน่น “และข้าเป็นคนออกคำสั่งที่นี่ เซร่า ไม่ใช่เจ้า” ซามูเอลจ้องเธอด้วยสายตาดุดันครู่หนึ่ง ในที่สุดเธอก็ยอม

ซามูเอลหลบไปด้านข้าง และชี้ไปยังบันไดหิน

คาเลปเอื้อมมาจับมือของเคทลิน และพาเธอเดินไปข้างหน้า พวกเขาก้าวลงไปในขั้นบันไดหินขนาดใหญ่ และลงไปยังความมืดมิด

เบื้องหลังของเคทลิน เธอได้ยินเสียงหัวเราะที่คมชัดแว่วผ่านมา

“โล่งอกไปที”

บทที่สิบสอง

เสียงฝีเท้าของพวกเขาดังสะท้อนกับบันไดหินอันกว้างใหญ่ในขณะที่พวกเขาเดินลงไป รอบข้างมีแสงสว่างเล็กน้อย เคทลินเอื้อมมือออกไปและสอดมือเข้ากับแขนของคาเลป เธอหวังว่าเขาจะปล่อยไว้แบบนั้น และเขาก็ทำมัน อันที่จริงเขารัดแขนของเขาให้แน่นขึ้นด้วยซ้ำ และอีกครั้งที่เคทลินรู้สึกปลอดภัย เธอสามารถเดินลงไปในความมืดมิดได้ ตราบเท่าที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน

 

หลายความคิดกำลังเข้ามาในจิตใจของเธอ สภาคืออะไร? ทำไมเขาถึงยืนกรานที่จะพาเธอไป? และทำไมเธอรู้สึกดื้อดึงที่จะอยู่เคียงข้างเขา? เธอสามารถปฏิเสธได้อย่างง่ายดายตอนอยู่ข้างบน บอกกับเขาว่าสิ่งที่พูดมานั้นเธอไม่ต้องการ เธอจะรอข้างบน แต่เธอไม่อยากรออยู่บนนั้น เธอต้องการอยู่กับเขา เธอไม่อยากอยู่ที่ไหน

ไม่มีสิ่งใดสมเหตุสมผล ทุกย่างก้าวที่เดินออกไป แทนที่จะได้คำตอบ ทั้งหมดที่เธอได้คือคำถามใหม่ ๆ พวกที่อยู่ข้างบนคือใคร? พวกเขาเป็นแวมไพร์หรือ? พวกเขามาทำอะไรที่นี่? ในคลอยสเตอร์?

พวกเขาเลี้ยวตรงหัวมุม และเดินไปยังห้องขนาดใหญ่ เธอสะดุดตากับความงดงาม ช่างน่าเหลือเชื่อ มันเหมือนกับปราสาทในยุคกลางจริง ๆ เพดานสูงโปร่งที่ปกคลุมอยู่เหนือห้องที่สลักด้วยหินจากยุคกลาง ด้านขวาของเธอเรียงรายไปด้วยหีบศพโบราณที่ทำจากหิน วางอยู่สูงจากระดับพื้นห้อง พร้อมด้วยรูปสลักอันงดงามที่ประดับอยู่ด้านบน หีบศพบางส่วนเปิดอยู่ นี่คือที่นอนของพวกเขาหรือ?

เธอพยายามคิดย้อนถึงเรื่องราวแวมไพร์ทั้งหมดที่เธอเคยได้ยิน นอนในโลงศพ ตื่นกลางคืน ความแข็งแรงและความเร็วเหนือมนุษย์ หวาดกลัวต่อแสงอาทิตย์ ทั้งหมดดูเหมือนจะมีเหตุผล เธอรู้สึกว่าว่าตัวเธอเองก็กลัวแสงอาทิตย์ แต่ไม่ใช่ว่าจะทนไม่ได้ และเธอเคยผ่านน้ำศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว เหนือสิ่งอื่นใด คลอยสเตอร์แห่งนี้เต็มไปด้วยกางเขน ทุกที่จะมีกางเขนขนาดใหญ่ และดูจะไม่ส่งผลอะไรกับแวมไพร์เหล่านี้ อันที่จริง ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นบ้านของพวกเขา

เธอต้องการถามคาเลปเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมดนี้ รวมถึงเรื่องอื่น ๆ แต่ไม่รู้ว่าต้องเริ่มยังไงดี เธอตั้งเป้าไปที่เรื่องสุดท้าย

“กางเขน” เธอพูดขึ้นขณะที่พวกเขากำลังเดินผ่านกางเขนอันหนึ่ง “มันไม่รบกวนคุณหรอ?”

เขามองมาที่เธออย่างไม่เข้าใจ ทำหน้างง

“กางเขนไม่ทำร้ายแวมไพร์หรอ?” เธอถาม

ความกระจ่างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

“ไม่ใช่เราทั้งหมด” เขาตอบ “เผ่าพันธุ์ของเราเปราะบางที่สุด เหมือนเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ พวกเรามีหลายเผ่าพันธุ์ และมีอาณาเขต --- หรือกลุ่มมากมาย --- แต่ละเผ่าค่อนข้างที่จะซับซ้อน กางเขนไม่ส่งผลต่อแวมไพร์ที่ดี”

“ดี?” เธอถาม

“เหมือนกับเผ่ามนุษย์ของเธอ ที่มีทั้งพลังความดีและพลังชั่วร้าย พวกเราไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด”

เขาทิ้งท้ายเอาไว้อย่างนั้น เหมือนเช่นเคย คำตอบที่ได้มายิ่งทำให้มีคำถามเพิ่มขึ้น แต่เธอห้ามใจเอาไว้ เธอไม่ต้องการเซ้าซี้ไปมากกว่านี้

พวกเขาเดินผ่านห้องที่มีเพดานสูงโปร่ง ไปยังทางเข้าประตูขนาดเล็ก ประตูโค้งที่ทำจากไม้เปิดออก พวกเขาเดินตรงไป เข้าไปในอีกห้องหนึ่ง ภายให้ห้องมีเพดานสูงโปร่ง และเป็นห้องที่งดงามอย่างยิ่ง เธอเงยขึ้นไปและมองเห็นกระจกสเตนกลาสทั่วทุกที่ ด้านขวาของเธอเป็นพื้นที่ยกสูงสำหรับพลับพลาเทศนา ด้านหน้ามีเก้าอี้ไม้ขนาดเล็กประมาณหนึ่งโหลวางเรียงรายอยู่ มันช่างงดงามเหลือเกิน ดูเหมือนคลอยสเตอร์ยุคกลางอย่างแท้จริง

เธอมองไม่เห็นวี่แววของสิ่งมีชีวิตใด ๆ ไม่มีเสียงของการเคลื่อนไหว เธอไม่ได้ยินอะไรเลย เธอสงสัยว่ากำลังอยู่ที่ไหน

พวกเขาเข้าไปยังอีกห้องหนึ่ง พื้นลาดเอียงลงไปเล็กน้อย เธอตกใจอ้าปากค้าง ห้องขนาดเล็กนี้เต็มไปด้วยสมบัติ มันคือพิพิธภัณฑ์ที่ยังใช้งานอยู่ ของล้ำค่าเหล่านี้ได้รับการห่อหุ้มอย่างระมัดระวัง วางอยู่ด้านหลังกระจก โลหะเนื้อเบาคมกริบที่อยู่ข้างหน้าเธอ ต้องเป็นวัตถุโบราณที่มีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์อย่างแน่นอน สมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ กางเขนทองคำ จอกเงินขนาดใหญ่ เอกสารที่เขียนด้วยลายมือสมัยยุคกลาง….

เธอเดินตามคาเลป เขาเดินผ่านห้องและหยุดต่อหน้ากล่องกระจกยาวแนวตั้ง ภายในมีไม้เท้างาช้างที่งดงาม ยาวหลายฟุต เขาจ้องมองผ่านกระจก

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง

“นี่คืออะไร?” เธอถามขึ้นมา

เขายังคงจ้องมองอย่างเงียบเชียบ ในที่สุดเขาก็พูดว่า “เพื่อนเก่าน่ะ”

เขาไม่ตอบเพียงแค่นั้น เธอสงสัยว่าเขามีเรื่องราวอะไรเกี่ยวกับวัตถุนั่น และมันมีพลังอะไรซ่อนอยู่ เธออ่านคำจารึก มันเขียนว่าช่วงต้นปี 1300

“มันเรียกว่าโครเซียร์ ไม้เท้าของบิชอป มันเป็นทั้งไม้คาดโทษและไม้เท้า ไม้คาดโทษสำหรับการลงทัณฑ์และไม้เท้าสำหรับการชี้นำความศรัทธา เป็นสัญลักษณ์โบสถ์ของเรา มันมีพลังในการให้พรหรือคำสาปแช่ง มันคือสิ่งที่เราปกป้อง มันคือสิ่งที่ทำให้เราปลอดภัย”

โบสถ์ของพวกเขา? สิ่งที่พวกเขาปกป้อง?

ก่อนที่เธอจะทันตั้งคำถามเพิ่มเติม เขาจูงมือของเธอ และพาเธอผ่านไปยังทางเข้าประตูอีกแห่ง

พวกเขามาถึงเชือกกั้นกำมะหยี่ เขาเอื้อมมือออกไป ปลอดขอเกี่ยวออก แล้วให้เธอเข้าไป จากนั้นเขาตามเธอไป แล้วเกี่ยวตะขอกลับเหมือนเดิม เขาพาเธอเข้าไปยังบันไดวนขนาดเล็กที่ทำจากไม้ ดูเหมือนมันจะทอดยาวลงไปข้างล่าง เธอมองดูอย่างงุนงง

คาเลปคุกเข่าลงและปลดกลอนประตูลับบนพื้น ประตูบนพื้นเปิดขึ้นมา เธอมองเห็นบันไดที่ทอดยาวไปยังเบื้องล่าง ลงไปสู่ความลึก

คาเลปมองมาที่ตาของเธอ “เธอพร้อมมั้ย?”

เธอต้องการพูดว่า ไม่ แต่เธอกลับจับมือของเขาแทน

*

บันไดนี้แคบและสูงชัน มันนำไปสู่ความมืดมิด หลังจากเดินวนลงไปเรื่อย ๆ ในที่สุดเธอก็มองเห็นแสงที่ส่องสว่างมาจากระยะไกล และเริ่มได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว เมื่อพวกเขาเลี้ยวที่หัวมุม พวกเขาก็เข้ามาอีกห้องหนึ่ง

ห้องนี้มีขนาดใหญ่และสว่างจ้า คบไฟติดอยู่ทุกที่ มันส่องให้เห็นห้องชั้นบนอย่างชัดเจน เพดานยุคกลางที่ทำจากหินโค้งมนอยู่ด้านบน ตกแต่งด้วยรายละเอียดที่ซับซ้อน ประดับกำแพงด้วยพรมขนาดใหญ่ และบนพื้นขนาดกว้างขวางเต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์สมัยยุคกลาง

ที่นี่เต็มไปด้วยแวมไพร์ ทั้งหมดแต่งกายในชุดสีดำ พวกเขาเดินเข้ามาในห้องเรื่อย ๆ นั่งลงในที่ต่าง ๆ พูดคุยกัน บรรยากาศไม่เหมือนใต้ศาลากลางในนิวยอร์ก ที่นั่นเธอรู้สึกถึงความชั่วร้าย สัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างแท้จริง แต่เธอรู้สึกผ่อนคลายกับที่นี่อย่างน่าประหลาด

คาเลปพาเธอเดินเข้าไป ตรงไปยังจุดศูนย์กลาง เมื่อพวกเขาเดินเข้าไป การเคลื่อนไหวค่อย ๆ นิ่งลง ความเงียบเริ่มปกคลุม เธอรับรู้ได้ว่าทุกสายตากำลังมองมาที่พวกเขา

เมื่อพวกเขาเดินไปถึงหลังห้อง คาเลปตรงไปยังแวมไพร์ร่างใหญ่ เขาสูงว่าคาเลปและไหล่กว้างมาก เขามองลงมา ไร้สีหน้าใด ๆ

“ข้าต้องการเข้าพบ” คาเลปพูดอย่างเรียบง่าย

แวมไพร์ตัวนั้นหันกลับไป เดินไปที่ทางเข้าประตู แล้วปิดประตูเบื้องหลังเขาอย่างแน่นหนา

คาเลปและเคทลินยืนอยู่ตรงนั้น กำลังรอ เธอมองไปรอบห้อง แวมไพร์หลายร้อยตน --- กำลังจ้องมาที่พวกเขา แต่ไม่มีใครเข้ามาใกล้

ประตูเปิดออก แวมไพร์ร่างใหญ่ผายมือ และพวกเขาก็เดินเข้าไป

ห้องขนาดเล็กนี้มืดกว่า มีแสงสว่างสลัว ๆ จากคบไฟในระยะไกลเพียงสองอันที่อยู่ด้านหลังห้อง มันคือโต๊ะตัวยาวที่ไม่มีอะไรวางอยู่เลยบนฝั่งตรงข้าม หลังโต๊ะมีแวมไพร์เจ็ดตนนั่งอยู่ ทั้งหมดจ้องมาด้วยสายตาที่เคร่งขรึม มันเหมือนกับแท่นสำหรับการพิพากษา

มันมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับแวมไพร์เหล่านี้ที่ทำให้พวกเขาดูแก่กว่ามาก ความรู้สึกรุนแรงจากการแสดงออกของพวกเขา มันเป็นแท่นสำหรับตัดสินโทษอย่างแน่นอน

“เริ่มการประชุม!” แวมไพร์ร่างใหญ่ตะโกนออกมา กระแทกไม้เท้าของเขากับพื้นเสียงดัง จากนั้นก็ออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว เขาปิดประตูอย่างแน่นหนา ตอนนี้เหลือแค่เพียงพวกเขาสองคนที่กำลังเผชิญหน้ากับแวมไพร์เจ็ดตน

เธอยืนอย่างหวั่นเกรงข้างคาเลป ไม่แน่ใจว่าจะต้องทำหรือพูดอะไร

ความเงียบที่น่าอึดอัดเกิดขึ้น ในขณะที่คณะผู้ตัดสินกำลังพิจารณาพวกเขา รู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังมองทะลุจิตวิญญาณ

“คาเลป” เสียงแหบแห้งเปล่งออกมาจากแวมไพร์ที่นั่งกึ่งกลางโต๊ะ “เจ้าละทิ้งตำแหน่งของเจ้า”

“ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้นครับท่าน” เขาตอบ “ข้ารักษาตำแหน่งของข้าอย่างแรงกล้ามาตลอด 200 ปี ข้าถูกบังคับให้ต้องลงมือคืนนี้”

“เจ้าไม่ต้องทำอะไรนอกจากคำสั่งของเรา” เขาตอบ “เจ้าทำให้พวกเราทั้งหมดต้องเสี่ยงอันตราย”

“หน้าที่ของข้าคือเตือนพวกเราเกี่ยวกับสงครามที่กำลังจะมาถึง” คาเลปตอบ “ข้าเชื่อว่าเวลานั้นมาถึงแล้ว”

เหล่าสภาถอนหายใจ เกิดความเงียบที่ยาวนานชั่วครู่หนึ่ง

“แล้วอะไรทำให้เจ้าคิดเช่นนั้น?”

“พวกมันราดเธอด้วยน้ำศักดิ์สิทธิ์ และน้ำศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เผาไหม้ผิวหนังของเธอ ตามคำสอนบอกพวกเราว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อผู้ถูกเลือกเดินทางมา เธอจะไม่เป็นอันตรายจากอาวุธของเรา และเธอจะประกาศสงคราม”

เสียงถอนหายใจแผ่วเบากระจายไปทั่วห้อง พวกเขาทั้งหมดจ้องมาที่เคทลิน กำลังวิเคราะห์เธอ คณะตัดสินหลายคนเริ่มพูดจากัน จนคนที่อยู่ตรงกลางทุบโต๊ะด้วยฝ่ามือของเขา

“เงียบ!” เขาตะโกน

เสียงพึมพำค่อย ๆ แผ่วเบาลง

“ดังนั้นเจ้าจึงทำให้พวกเราทั้งหมดต้องมาเสี่ยง เพื่อช่วยมนุษย์คนหนึ่งอย่างนั้นหรือ?” เขาถาม

“การช่วยเธอก็เหมือนกับการช่วยพวกเราเอง” คาเลปตอบ “ถ้าเธอคือผู้ถูกเลือก เราจะไม่เหลืออะไรหากไม่มีเธอ”

เคทลินงงไปหมด เธอไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไร ผู้ถูกเลือก? คำสอน? พวกเขาหมายถึงอะไร? เธอสงสัยว่าเขาคิดว่าเธอเป็นคนอื่น คิดว่าเธอเป็นใครบางคนที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เธอเป็น

เธอรู้สึกหดหู่ ไม่ใช่เพราะสายตาของสภาที่มองเธอ แต่เธอเริ่มกังวลว่าคาเลปช่วยชีวิตเธอเพียงเพราะความต้องการของเขาเอง เขาไม่ได้สนใจเธอเลย ความชอบที่เขามีต่อเธอจะหายไปเมื่อเขารู้ความจริง เมื่อเขารู้ว่าเธอเป็นแค่เพียงเด็กผู้หญิงธรรมดาทั่วไป ไม่ว่าจะมีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และเขาจะทอดทิ้งเธอ เหมือนกับผู้ชายคนอื่น ๆ ในชีวิตของเธอ

ราวกับจะยืนยันความคิดของเธอ คณะตัดสินที่นั่งตรงกลางเริ่มส่ายหัวช้า ๆ เขามองมาที่คาเลป

“เจ้าได้ทำความผิดอันใหญ่หลวง” เขาพูด “อะไรที่ทำให้เจ้าคิดว่า เธอ คือผู้ถูกเลือก ผู้ที่จะเริ่มต้นสงครามครั้งนี้ การเดินทางมาของเจ้าเป็นสิ่งที่ส่งสัญญาณให้พวกมันรับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเราเรียบร้อยแล้ว”

“ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่ใช่ผู้ถูกเลือกอย่างที่เจ้าคิด”

คาเลปเริ่มพูด “แล้วท่านจะอธิบายอย่างไร---”

สมาชิกสภาอีกคนพูดขึ้น “หลายศตวรรษที่ผ่านมา เคยมีกรณีเช่นนี้ แวมไพร์ที่มีภูมิคุ้มกันอาวุธ ผู้คนต่างคิดว่าเขาคือพระเมสสิยาห์เช่นกัน แต่เขาไม่ใช่ เขาเป็นแค่พวกพันธุ์ผสม”

“พันธุ์ผสมหรือ?” คาเลปถาม เขาถามด้วยความไม่แน่ใจ

“แวมไพร์โดยกำเนิด” เขาพูดต่อ “ที่ไม่เคยเปลี่ยนร่าง พวกมันมีภูมิคุ้มกันกับอาวุธบางจำพวก แต่ไม่ใช่ทั้งหมด แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้มันกลายเป็นพวกเรา หรือทำให้มันเป็นอมตะ ฉันจะแสดงให้ดู” เขาเล่าต่อไป และทันใดนั้นก็หันมาหาเคทลิน

เธอรู้สึกประสาทเสียกับสายตาที่ขาจ้องมองมาที่เธอ “บอกข้ามา ว่าใครเป็นคนเปลี่ยนเจ้า?”

เคทลินไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไร เธอไม่รู้ว่าคำถามของเขาหมายความว่าอย่างไร อีกครั้งที่เธอกำลังสงสัยว่าอะไรคือคำตอบที่ดีที่สุดที่เธอควรตอบออกไป เธอลังเล รับรู้ได้ว่าไม่ว่าเธอจะพูดอะไร มันจะส่งผลอย่างรุนแรง ไม่เพียงต่อความปลอดภัยของเธอ แต่ยังรวมถึงคาเลป เธอต้องการให้คำตอบที่ถูกต้องกับเขา เพียงแต่เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไร

“ฉันขอโทษ” เธอพูด “ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร ฉันไม่เคยเปลี่ยนร่าง ฉันไม่รู้ว่านั่นมันหมายถึงอะไร”

สมาชิกสภาอีกคนหนึ่งโน้มตัวออกมาข้างหน้า “แล้วใครคือพ่อของเจ้า?” เขาถาม

จากคำถามทั้งหมด ทำไมเขาต้องถามเธอย่างนั้นด้วย? นั่นคือคำถามที่เธอเฝ้าถามตัวเองมาตลอดชีวิตอันยาวนานของเธอ พ่อของเธอคือใคร? ทำไมเธอไม่เคยพบเขา? ทำไมเขาถึงทิ้งเธอไป? มันคือคำตอบที่เธอต้องการมากกว่าอะไรทั้งหมดในชีวิต และตอนนี้ เขาถามในสิ่งที่เธอไม่สามารถตอบได้

“ฉันไม่รู้” เธอพูดออกมาในที่สุด

สมาชิกสภาโน้มตัวกลับ ราวกับว่าได้รับชัยชนะแล้ว “เจ้าเห็นไหม?” เขาพูด “พันธุ์ผสมจะไม่กลายร่าง และพวกมันไม่เคยรู้ว่าพ่อแม่เป็นใคร เจ้าทำผิดพลาดแล้วคาเลป เจ้าทำผิดพลาดอย่างมหันต์”

“คำสอนบอกว่าพันธุ์ผสมจะเป็นพระเมสสิยาห์ และเธอจะนำเราไปยังดาบที่สาบสูญ” คาเลปเถียงกลับอย่างท้าทาย

“คำสอนกล่าวว่าพันธุ์ผสมจะ นำ พระเมสสิยาห์มา” สมาชิกสภาแก้คำพูด “ไม่ใช่ เป็น”

“ท่านเล่นคำ” คาเลปตอบ “ข้ากำลังบอกพวกท่านว่าสงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว และเธอจะพาเราไปยังดาบ เวลากำลังล่วงเลย เราต้องให้เธอพาเราไป มันเป็นเพียงความหวังเดียวของเราที่มีอยู่”

“นิทานหลอกเด็ก” สมาชิกสภาอีกคนตอบ “ดาบที่เจ้าพูดถึงไม่มีตัวตน และถึงจะมี พันธุ์ผสมจะไม่ใช่คนที่จะพาเราไปหามัน”

ถ้าเราไม่ทำ คนอื่นจะทำ พวกมันจะจับเธอและค้นหาดาบศักด์สิทธิ์ พวกมันจะใช้ดาบมาต่อกรกับเรา”

“การพาเธอมาที่นี่ เจ้าได้ทำการละเมิดกฎอันรุนแรง” สมาชิกอีกคนพูดจากที่นั่งไกลสุดของโต๊ะ

“แต่ข้า----” คาเลปโต้ตอบ

“พอได้แล้ว!” ผู้นำสภาตะโกนออกมา

ทั้งห้องเงียบสนิท

“คาเลป เจ้ารู้ตัวว่าละเมิดกฎของกลุ่มเราหลายข้อ เจ้าได้ละทิ้งตำแหน่งเฝ้าระวังของเจ้า เจ้าทำให้ภารกิจของเจ้าเสื่อมเสีย เจ้าได้จุดชนวนสงคราม และเจ้าได้ทำให้พวกเรามีความเสี่ยงเพียงเพื่อมนุษย์คนเดียว ซึ่งอาจจะไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ แต่เป็นพันธุ์ผสม และที่แย่ที่สุดคือ เจ้าพาเธอมาที่นี่ เข้ามาในหมู่ของพวกเรา ทำให้พวกเราทั้งหมดตกอยู่ในอันตราย”

“เราขอตัดสินสั่งคุมขังเจ้า 50 ปี เจ้าจะไม่ได้ออกไปจากที่นี่อีก และเจ้าจงไล่พันธุ์ผสมของเจ้าออกไปจากกำแพงของเราทันที”

“เอาล่ะ ออกไปได้แล้ว”